แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 50
1
Doctor At Home: หลอดเลือดแดงขมับอักเสบ (Temporal arteritis/Giant cell arteritis)

หลอดเลือดแดงขมับอักเสบ (temporal arteritis) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ "หลอดเลือดแดงขนาดใหญ่อักเสบ (giant cell arteritis)" หมายถึงการอักเสบของผนังหลอดเลือดแดงขนาดกลางและใหญ่ ซึ่งมักเกิดกับหลอดเลือดแดงที่บริเวณคอและศีรษะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลอดเลือดแดงที่บริเวณขมับ (temporal artery) จึงนิยมเรียกว่า "หลอดเลือดแดงขมับอักเสบ"

หลอดเลือดแดงขมับอักเสบ เป็นโรคที่รุนแรงถึงทำให้ตาบอดได้ นับว่าเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาจากแพทย์อย่างเร่งด่วน

โรคนี้พบได้ค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่พบในคนอายุมากกว่า 50 ปี พบมากในช่วงอายุ 65-75 ปี พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 2 เท่า

ผู้ที่มีญาติสายตรง (พ่อแม่หรือญาติพี่น้อง) เป็นโรคนี้ หรือผู้ที่มี "กลุ่มอาการปวดตึงกล้ามเนื้อหลายส่วน" (polymyalgia rheumatic)* มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป

*มีอาการปวดและตึงกล้ามเนื้อพร้อมกันหลายส่วนของร่างกาย เนื่องจากเกิดการอักเสบของข้อต่อกระดูกตรงบริเวณคอ ไหล่ ต้นแขน และสะโพก อันเกิดจากปฏิกิริยาภูมิต้านตัวเองโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นโรคที่พบได้น้อย และพบในคนอายุมากกว่า 50 ปี "กลุ่มอาการปวดตึงกล้ามเนื้อหลายส่วน" กับโรคหลอดเลือดแดงขมับอักเสบมักพบร่วมกันได้บ่อย

สาเหตุ

ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด เชื่อว่าเกิดจากปฏิกิริยาภูมิต้านตัวเอง (autoimmune reaction) กล่าวคือ ร่างกายเกิดมีภูมิคุ้มกันที่ไปทำปฏิกิริยาต่อผนังหลอดเลือดของตัวเอง ทำให้ผนังหลอดเลือดแดงอักเสบ บวม ท่อหลอดเลือดตีบ เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้น้อยลง

แม้ว่าโรคนี้จะมีอาการแสดงชัดเจนปรากฏที่บริเวณขมับเนื่องมาจากหลอดเลือดแดงขมับอักเสบ แต่การอักเสบเกิดกับหลอดเลือดแดงขนาดกลางและใหญ่ได้ทุกส่วน ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ขาดเลือดไปเลี้ยง เกิดอาการตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายร่วมกับอาการปวดและเจ็บบริเวณขมับ

ปฏิกิริยาภูมิต้านตัวเองดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งปัจจัยด้านพันธุกรรมและปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม (เช่น การติดเชื้อ)

อาการ

มีอาการปวดศีรษะที่บริเวณขมับข้างใดข้างหนึ่งเพียงข้างเดียว หรือบางรายอาจเกิดพร้อมกันทั้งสองข้าง อาการปวดมักเกิดขึ้นฉับพลันรุนแรง หรืออาจค่อย ๆ ปวดแรงขึ้นทีละน้อย มีลักษณะปวดตุบ หรือปวดหน่วง ๆ หรือปวดแสบปวดร้อนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้ป่วยจะรู้สึกว่าเป็นการปวดศีรษะที่รุนแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และมักจะปวดมากจนทำให้นอนสะดุ้งตื่นหรือนอนไม่หลับ

มักจะสังเกตเห็นว่า บริเวณขมับข้างที่ปวดมีเส้นปูดขึ้น เวลาเอามือไปกดถูกจะรู้สึกเจ็บ ซึ่งเป็นอาการแสดงของหลอดเลือดแดงขมับอักเสบ

ผู้ป่วยมักรู้สึกปวดเจ็บหนังศีรษะเวลาหวีผม สวมหมวก สวมแว่นตา หรือนอนหนุนหมอน และอาจมีอาการปวดเมื่อยกรามเวลาเคี้ยวของที่เหนียว ๆ (เช่น เนื้อสัตว์ หมากฝรั่ง) หรือพูดนาน ๆ เนื่องมาจากหลอดเลือดแดงขากรรไกรอักเสบและตีบ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนี้ขาดเลือดไปเลี้ยง

อาการปวดศีรษะมักจะเป็นรุนแรง เรื้อรังไม่หาย หรืออาจทุเลาเพียงชั่วคราว แล้วกลับมากำเริบใหม่

ผู้ป่วยมักมีอาการปวดไหล่ คอ ต้นแขน ปวดสะโพก ซึ่งเป็นอาการของ "กลุ่มอาการปวดตึงกล้ามเนื้อหลายส่วน" (polymyalgia rheumatic) ร่วมด้วย

ผู้ป่วยอาจมีไข้ต่ำ ๆ เหงื่อออกตอนกลางคืน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดร่วมด้วย หรือบางรายอาจมีอาการเหล่านี้โดยไม่มีอาการปวดศีรษะร่วมด้วยก็ได้

นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการอื่น ๆ เช่น มีอาการปวดร้าวไปที่ตา ตาพร่ามัว หนังตาตก เห็นภาพซ้อน (เนื่องจากกล้ามเนื้อกลอกลูกตาอ่อนแรงเพราะขาดเลือด) ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ลิ้นชา หรือปวดเมื่อย ไอ เจ็บคอ เสียงแหบ ปวดหู หูตึงหรือได้ยินไม่ชัด หูอื้อหรือมีเสียงในหู เป็นต้น

หากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษา บางรายอาจมีอาการตามืดบอด (มองไม่เห็นอย่างเฉียบพลัน แบบบางส่วนหรือทั้งหมด) ตามมา

ภาวะแทรกซ้อน

เนื่องจากมีการอักเสบของหลอดเลือดแดงขนาดกลางและใหญ่หลายส่วนในร่างกาย หากไม่ได้รับการรักษา หลอดเลือดแดงอาจเกิดความผิดปกติ (ตีบตันหรือโป่งพอง) อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายขาดเลือดไปเลี้ยง ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้

ที่พบได้บ่อยคือ อาการตาบอด เนื่องจากหลอดเลือดตาอักเสบ และตีบ ทำให้ประสาทตาขาดเลือดไปเลี้ยง ซึ่งมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยไม่มีอาการปวดตา ส่วนใหญ่เกิดที่ตาเพียงข้างใดข้างหนึ่ง ส่วนน้อยอาจเกิดพร้อมกันทั้งสองข้าง ทำให้ตาข้างนั้นบอดอย่างถาวร (มีรายงานการศึกษาว่า พบได้ประมาณร้อยละ 20-50 ของผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษา)

ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจพบได้ อาทิ

    การอักเสบของหลอดเลือดแดงใหญ่ (aorta) ทำให้เกิด ภาวะหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง หรือ ภาวะเลือดเซาะผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ มีอันตรายถึงเสียชีวิตได้
    การอักเสบของหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เกิดหลอดเลือดหัวใจตีบ เกิดโรคหัวใจขาดเลือด ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจวาย
    การอักเสบของหลอดเลือดสมอง ทำให้หลอดเลือดสมองตีบ เกิด โรคอัมพาตครึ่งซีก ความจำเสื่อม หรือเกิดอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน
    การอักเสบของหลอดเลือดส่วนปลาย ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (peripheral artery disease) ได้แก่ หลอดเลือดแดงแขนตีบ หลอดเลือดแดงขาตีบ
    หลอดเลือดแดงหลักของจอตาอุดตัน

การวินิจฉัย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยเบื้องต้นจากการซักถามอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และตรวจร่างกายพบสิ่งผิดปกติ ที่สำคัญคือ ตรวจพบหลอดเลือดแดงที่บริเวณขมับข้างที่ปวด มีลักษณะเป็นเส้นปูด แข็งเป็นลำ ใช้มือกดจะรู้สึกเจ็บ และชีพจรเต้นเบาลงหรือคลำไม่ได้

อาจพบว่า การใช้มือลูบหนังศีรษะจะทำให้รู้สึกปวด หรือใช้มือกดหลอดเลือดแดงที่คอจะมีอาการเจ็บ หรือใช้เครื่องฟังตรวจที่หลอดเลือดแดงที่คอจะได้ยินเสียงฟู่ (bruit)

อาจตรวจพบความผิดปกติอื่น ๆ เช่น ไข้ น้ำหนักลด ชีพจรที่ข้อมือ (radial pulse) หรือหลังเท้า (dorsalis pedis) เต้นเบาลงหรือคลำไม่ได้ เป็นต้น

นอกจากนี้ การตรวจตาด้วยเครื่องมือต่าง ๆ อาจพบมีความผิดปกติของหลอดเลือดในลูกตา จอตา และขั้วประสาทตา

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจชิ้นเนื้อ (biopsy) คือการตัดชิ้นเนื้อของหลอดเลือดนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ (พบเซลล์ที่อักเสบเป็นเซลล์ตัวใหญ่หรือ giant cell ซึ่งเป็นที่มาของชื่อโรคว่า "Giant cell arteritis" นั่นเอง) อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโรคนี้ถือเป็นภาวะฉุกเฉิน (ทำให้ตาบอดได้ฉับพลัน) หากแพทย์ตรวจวินิจฉัยเบื้องต้นพบว่าอาการเข้าได้กับโรคนี้ ก็อาจทำการรักษาก่อนที่จะทำการตรวจหรือรอผลยืนยันของชิ้นเนื้อ

การตรวจเลือดจะพบค่าอีเอสอาร์ (ESR/erythrocyte sedimentation rate) หรือ CRP (C-reactive protein) ขึ้นสูงกว่าปกติ ซึ่งบ่งบอกว่ามีการอักเสบของหลอดเลือด

นอกจากนี้ แพทย์อาจทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อช่วยยืนยันการวินิจฉัยและการติดตามผลการรักษา เช่น การถ่ายภาพการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (doppler ultrasound), การถ่ายภาพหลอดเลือดด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าร่วมกับการฉีดสี (MRA/magnetic resonance angiography), การตรวจหลอดเลือดด้วยเพตสแกน (PET scan)

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาทันทีที่วินิจฉัยโรคนี้ ในรายที่มีอาการรุนแรง หรือมีปัญหาไม่สามารถดูแลตัวเองที่บ้านได้ แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล

การรักษา แพทย์จะให้ยาสเตียรอยด์ (เช่น เพร็ดนิโซโลน) ขนาดสูงในระยะแรก เพื่อลดการอักเสบของหลอดเลือดทันทีโดยไม่ต้องรอผลการตรวจชิ้นเนื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีอาการทางตา (เช่น ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน) ร่วมด้วย เนื่องจากหากให้การรักษาล่าช้า อาจทำให้เกิดภาวะตาบอดอย่างถาวรได้

เมื่ออาการดีขึ้นหลังให้ยาประมาณ 2-4 สัปดาห์ แพทย์ก็จะค่อย ๆ ปรับลดขนาดยาลง จนเหลือขนาดต่ำสุด ก็จะให้ยาในขนาดนั้นต่อเนื่องนานอย่างน้อย 1-2 ปี (บางรายอาจนานถึง 5  ปี) เพื่อป้องกันการกำเริบของโรค

บางรายแพทย์อาจให้ยาลดการอักเสบชนิดอื่นร่วมด้วย เช่น methotrexate (ซึ่งเป็นยาลดการอักเสบด้วยการออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน หรือ immunosuppressant), tocilizumab (ซึ่งเป็นยาลดการอักเสบด้วยการออกฤทธิ์ต้าน interleukin-6 หรือ interleukin-6 receptor antagonist) ซึ่งจะช่วยเสริมประสิทธิผลในการรักษา และลดขนาดของยาสเตียรอยด์ที่ใช้ซึ่งช่วยลดผลข้างเคียงของยาสเตียรอยด์

แพทย์จะให้ผู้ป่วยกินยาแอสไพรินขนาดต่ำ (วันละ 75-150 มก.) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือด เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในตา หัวใจ และสมอง, ให้กินวิตามินดีและแคลเซียม เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุนจากการใช้ยาสเตียรอยด์นาน ๆ

แพทย์จะนัดผู้ป่วยมารับการตรวจรักษาเป็นระยะ เพื่อติดตามดูอาการและภาวะแทรกซ้อนของโรค และตรวจดูภาวะที่เกิดจากผลข้างเคียงของยาสเตียรอยด์ (เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ต้อกระจก โรคกระดูกพรุน เป็นต้น)

ผลการรักษา ส่วนใหญ่หลังให้การรักษาด้วยยาสเตียรอยด์แล้ว อาการจะทุเลาเป็นปกติได้ภายในเวลาไม่นาน และสามารถลดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง (ได้แก่ ตาบอด โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง) ลงได้

ส่วนในรายที่มาพบแพทย์ช้า คือมีอาการตาบอดเกิดขึ้นแล้ว การรักษาก็ไม่ช่วยให้อาการตาบอดนั้นดีขึ้น

ในรายที่กินยาสเตียรอยด์จนครบและแพทย์ให้หยุดยา บางรายอาจมีอาการกำเริบใหม่ในเวลาต่อมาได้ ดังนั้นเมื่อหยุดยาแล้ว ควรเฝ้าสังเกตอาการและไปพบแพทย์ตามนัด หากโรคกำเริบ แพทย์ก็จะให้ยารักษารอบใหม่

นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับยาสเตียรอยด์นาน ๆ อาจเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง เช่น ภูมิคุ้มกันต่ำ (ทำให้เกิดโรคติดเชื้อง่ายและรุนแรง) ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ต้อกระจก โรคกระดูกพรุน (เกิดกระดูกหักตามมา) เป็นต้น ซึ่งแพทย์จะเฝ้าติดตาม และทำการป้องกันและรักษาผลข้างเคียงดังกล่าว

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดศีรษะที่บริเวณขมับข้างใดข้างหนึ่งเพียงข้างเดียว หรือสองข้างอย่างรุนแรง คลำได้เส้นปูดเป็นลำแข็งตรงขมับข้างที่ปวด และกดถูกเจ็บ, หรือมีอาการปวดขมับ ร่วมกับอาการปวดหนังศีรษะ (เวลาหวีผม สวมหมวก สวมแว่นตา หรือนอนหนุนหมอน) หรือปวดเมื่อยกราม (เวลาเคี้ยวอาหาร หรือพูดนานๆ), หรือมีอาการปวดขมับร่วมกับมีไข้ หรืออาการตาพร่ามัวหรือเห็นภาพซ้อน, หรือมีอาการปวดขมับรุนแรงเป็นครั้งแรก และปวดมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในคนอายุมากกว่า 50 ปี ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคหลอดเลือดแดงขมับอักเสบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาสเตียรอยด์

- กินอาหารสุขภาพ เน้นผักผลไม้ ธัญพืช ปลา ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองให้มาก ลดอาหารหวาน (น้ำตาล) -มัน (ไขมัน เนื้อติดมัน หนังสัตว์ กะทิ) -เค็ม ทั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน
- กินวิตามินดีและแคลเซียมตามที่แพทย์แนะนำ
- ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีการตามืดมัว เจ็บหน้าอก หรือแขนขาชาหรืออ่อนแรง
    มีไข้ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ บ้านหมุน หน้ามืด เป็นลม ซีด ใจสั่น หรือเบื่ออาหาร
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระดำ หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกัน เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มีอาการปวดที่ขมับ (ข้างเดียวหรือสองข้าง) คล้ายโรคไมเกรน ไมเกรนมักมีอาการปวดตุบ ๆ ที่ขมับ เป็น ๆ หาย ๆ ตั้งแต่วัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว มักมีเหตุกำเริบ (เช่น แสง เสียง กลิ่น อากาศร้อน หิว อดนอน เครียด เป็นต้น) แต่ละครั้งจะเป็นอยู่นาน 4-72 ชั่วโมง และมักจะทุเลาได้เร็วหากได้นอนพัก หรือกินยาแก้ปวดทันทีที่เริ่มมีอาการ

แต่ถ้าพบว่ามีอาการปวดที่ขมับเกิดขึ้นอย่างฉับพลันต่อเนื่อง และรุนแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน (หรือปวดต่างจากอาการปวดไมเกรนในรายที่เคยเป็นไมเกรนมาก่อน) ปวดจนนอนสะดุ้งตื่นหรือนอนไม่หลับ และมีเส้นปูดที่ขมับข้างที่ปวด เป็นลำแข็ง กดเจ็บ และชีพจรเต้นเบา (ต่างจากไมเกรนที่อาจมีเส้นปูดที่ขมับข้างที่ปวด แต่เป็นเส้นนุ่ม กดถูกไม่เจ็บ และมีชีพจรเต้นตุบ ๆ) หรือมีอาการปวดหนังศีรษะ ปวดเมื่อยกราม หรือมีอาการตาเห็นภาพซ้อน หรือตาพร่ามัวร่วมกับปวดศีรษะ (ต่างจากไมเกรนที่อาจพบอาการตาเห็นภาพผิดปกติก่อนมีอาการปวดศีรษะ ซึ่งเป็นเพียงชั่วคราวและจะทุเลาลงไปเมื่อมีอาการปวดศีรษะ) ก็ให้สงสัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดขมับอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นอาการที่พบครั้งแรกในคนอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป

2. โรคนี้ถึงแม้พบได้น้อย แต่มีความร้ายแรง ทำให้ตาบอดได้อย่างฉับพลันและถาวร และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงอื่น ๆ หากมีอาการสงสัย ควรไปพบแพทย์ทันที และดูแลรักษากับแพทย์ ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง

2
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479




3
งานมอเตอร์โชว์: Mitsubishi เริ่มจัดส่ง All-New Xforce HEV ในประเทศไทย หลังกวาดยอดจองกว่า 1,800 คัน ภายใน 3 สัปดาห์

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชัน (ต่อไปนี้เรียกว่า มิตซูบิชิ มอเตอร์ส) ได้เริ่มจัดส่ง รถคอมแพ็กต์เอสยูวี ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี แบบไฮบริด (HEV) เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา โดยรถรุ่นดังกล่าวผลิตที่โรงงานแหลมฉบังของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย

ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี เป็นรถยนต์แบบไฮบริด (HEV) รุ่นที่สองของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ถัดจากรุ่น มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์  ที่เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 โดยได้รับกระแสตอบรับที่ดีเกินคาด ด้วยยอดจองกว่า 1,800 คัน ภายหลังจากการเปิดตัวเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา

ลูกค้าของมิตซูบิชิที่สั่งจองรถรุ่นนี้ ต่างประทับใจในการออกแบบของตัวรถที่ดูทันสมัยและทรงพลัง ตอบโจทย์การใช้งานของรถเอสยูวีได้อย่างเต็มรูปแบบ ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง รองรับผู้โดยสารได้ถึง 5 คนอย่างสะดวกสบายแม้จะเป็นรถคอมแพ็กต์เอสยูวี พร้อมด้วยสมรรถนะของรถที่ให้อัตราเร่งที่ทรงพลังและทำงานเงียบ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์แบบไฮบริด (HEV) และโดดเด่นด้วยอัตราการประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยมในรถยนต์ระดับเดียวกันอีกด้วย โดย มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จะทยอยส่งมอบ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ให้กับลูกค้าได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป

มร. ทาคาโอะ คาโตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น กล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวในภาคกลางของประเทศเมียนมาเมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า  "ผมขอแสดงความเคารพต่อผู้ที่เสียชีวิตในภัยพิบัติครั้งนี้ และขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตด้วยครับ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ได้ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาอย่างยาวนานกว่า 60 ปีแล้ว


ด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลไทย ทำให้เราได้มีส่วนร่วมในการสร้างความก้าวหน้าให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศ และเราจะยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยต่อไป พร้อมเดินหน้าดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทยอย่างจริงจังครับ"

4
ตรวจโรคสายตาสั้น (Myopia/Nearsightedness)

สายตาสั้น เป็นความผิดปกติของสายตา ที่มีอาการมองใกล้ชัด แต่มองไกลไม่ชัด เป็นภาวะที่พบได้บ่อย (พบได้ประมาณร้อยละ 25 ของเด็กในวัยเรียน) อาจเป็นเพียงตาข้างเดียว หรือ 2 ข้างก็ได้ และสายตาทั้ง 2 ข้างอาจจะสั้นไม่เท่ากันก็ได้

โรคนี้มักพบเป็นกันหลายคนในหมู่ญาติพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน

สายตาสั้น แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ สายตาสั้นชนิดไม่รุนแรง (ซึ่งพบเห็นเป็นส่วนใหญ่ มีภาวะสายตาสั้นไม่รุนแรง และไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง) และสายตาสั้นชนิดรุนแรง (ซึ่งพบได้น้อย สายตาสั้นค่อนข้างมากถึงรุนแรง และมักมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง)

สาเหตุ

สายตาสั้น มีสาเหตุจากกระจกตามีความโค้งมากกว่าปกติ ซึ่งมีกำลังในการหักเหแสงมากขึ้น ทำให้จุดรวมแสงของภาพของวัตถุที่อยู่ไกลตกอยู่ข้างหน้าจอตา ไม่ตกตรงจอตาพอดี จึงมีอาการมองไกล ๆ ไม่ชัด

  สายตาสั้นยังอาจเกิดจากกระบอกตามีความยาว (ระยะจากกระจกตาถึงจอตา) มากกว่าปกติ ทำให้จุดรวมแสงของภาพของวัตถุที่อยู่ไกลตกไม่ถึงจอตา ทำให้เกิดอาการมองไกลไม่ชัด มักทำให้มีสายตาสั้นที่ค่อนข้างมากถึงรุนแรง

เชื่อว่าความผิดปกติดังกล่าวเป็นสิ่งที่เป็นมาแต่กำเนิดโดยธรรมชาติของคนคนนั้น อาจมีความสัมพันธ์กับกรรมพันธุ์และเชื้อชาติ

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดอาการสายตาสั้น ได้แก่ การใช้เวลามากในการเพ่งมองวัตถุที่อยู่ใกล้ (เช่น การอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ดูจอคอมพิวเตอร์) หรือการเล่นสมาร์ตโฟนเป็นเวลานาน ๆ เป็นประจำ การใช้เวลาในที่กลางแจ้งน้อย

อาการ

สายตาสั้น จะมีอาการมองไกล ๆ (เช่น มองกระดานดำ ดูโทรทัศน์) ไม่ชัด ต้องคอยหยีตา แต่มองใกล้ (เช่น อ่านหนังสือ ดูจอคอมพิวเตอร์) ได้ชัดเจน

  ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดศีรษะหรือตาล้าจากการเพ่งมองวัตถุที่อยู่ไกล

เด็กที่มีสายตาสั้น อาจมีอาการกะพริบตาบ่อย ใช้นิ้วขยี้ตาบ่อย นั่งดูทีวีใกล้จอ และถ้าสายตาสั้นมาก ๆ อาจมีอาการตาเขร่วมด้วย

สำหรับสายตาสั้นชนิดไม่รุนแรง จะเริ่มมีอาการแสดงในระยะที่เริ่มเข้าโรงเรียน และจะค่อย ๆ เป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งอายุ 25 ปีจึงอยู่ตัวไม่สั้นมากขึ้น สายตาสั้นชนิดนี้จะไม่สั้นมาก และไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง

  ในรายที่เป็นสายตาสั้นชนิดรุนแรง ซึ่งมักเกิดจากมีกระบอกตายาวกว่าปกติมากและอาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง อาจพบว่าในระยะแรกจะมีอาการสายตาสั้นคล้ายชนิดไม่รุนแรง แต่จะมีสายตาสั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุที่มากขึ้น แม้เลยวัย 25 ปีไปแล้ว หรืออาจพบมีอาการสายตาสั้นขนาดมาก ๆ มาตั้งแต่อายุน้อย (ในวัยรุ่น) จะสังเกตเห็นเมื่อเด็กเริ่มหัดเดิน มักจะเดินชนถูกสิ่งกีดขวาง หกล้มบ่อย ๆ หรือเวลามองดูอะไรต้องเข้าไปใกล้ ๆ จนตาแทบชิดกับวัตถุที่มอง ต้องสวมแว่นหนา ๆ อาจต้องเปลี่ยนแว่นแรงขึ้นเรื่อย ๆ

  สายตาสั้นชนิดรุนแรงที่พบตั้งแต่วัยเด็กดังกล่าว เรียกว่า "สายตาสั้นชนิดร้าย (malignant myopia)" เป็นภาวะที่พบได้น้อย มีความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม

ภาวะแทรกซ้อน

ความบกพร่องในการมองเห็น ทำให้เกิดความบกพร่องในการเรียนและการทำงาน และอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย (เช่น ขณะขับรถ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร)

เด็กเล็กที่มีสายตาสั้นมาก ๆ อาจเกิดอาการตาเขได้

สำหรับสายตาสั้นชนิดรุนแรง อาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ต้อกระจก ต้อหิน จอประสาทตาฉีกขาดหรือหลุดลอก เลือดออกที่จอตา เป็นต้น ทำให้ตาบอดได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยด้วยการใช้เครื่องตรวจวัดสายตาและการตรวจสุขภาพตาซึ่งมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน และอาจวัดสายตาด้วยการทดลองให้มองผ่านเลนส์หลาย ๆ ขนาดเพื่อหาขนาดที่ให้ความคมชัดที่สุด

บางครั้งแพทย์อาจให้ยาหยอดตาขยายรูม่านตา เพื่อเปิดมุมกว้างสำหรับการตรวจภายในลูกตาได้ละเอียด อาจทำให้เห็นแสงจ้า หรือรู้สึกตาพร่ามัวอยู่สักพักใหญ่ และจะหายดีหลังจากยาหมดฤทธิ์

การรักษาโดยแพทย์

ถ้ามีอาการเล็กน้อย และไม่มีอุปสรรคต่อการเรียนหรือการทำงาน แพทย์อาจแนะนำให้เฝ้าสังเกตอาการและนัดมาตรวจวัดสายตาเป็นระยะ

สำหรับผู้ที่มีสายตาสั้นซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเรียนหรือการทำงาน แพทย์จะทำการแก้ไขด้วยการให้ผู้ป่วยใส่แว่นชนิดเลนส์เว้า หรือเลนส์สัมผัสหรือคอนแทคเลนส์* ตามขนาดสายตาที่ตรวจวัดได้

ในผู้ที่เป็นสายตาสั้นชนิดรุนแรง แพทย์จะนัดมาตรวจวัดสายตา ปรับเปลี่ยนแว่น และตรวจดูภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดตามมาเป็นระยะ

  แพทย์อาจให้การรักษาด้วยการผ่าตัดร่วมกับการใช้เลเซอร์ เพื่อปรับความโค้งของกระจกตาให้จุดรวมแสงตกบนจอตาพอดี สำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 20 ปี มีสายตาที่คงที่แล้ว และไม่มีภาวะที่เป็นข้อห้ามในการทำการผ่าตัด การรักษาด้วยการผ่าตัดแบบนี้มีอยู่หลายวิธี

  ที่นิยมได้แก่ วิธีที่เรียกว่า เลสิก (LASIK ซึ่งย่อมาจาก laser assisted in situ keratomileusis) โดยแพทย์จะใช้มีดเฉพาะ (microkeratome) ฝานกระจกตาโดยรอบ และใช้เลเซอร์ (excimer laser) ยิงให้กระจกตาส่วนที่อยู่ตรงกลางแบนลงให้ได้ขนาดที่เหมาะกับระดับของสายตาสั้น

นอกจากนี้ แพทย์อาจรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ** รวมทั้งการผ่าตัดฝังเลนส์เทียม (intraocular lens implant/IOL) โดยแพทย์จะผ่ากระจกตาเป็นรอยเล็ก ๆ แล้วฝังเลนส์ตาเทียมเข้าไปในตาของผู้ป่วย ซึ่งช่วยให้จุดรวมแสงของภาพของวัตถุที่อยู่ไกลตกตรงจอตา ทำให้มองเห็นได้ชัดขึ้น

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ช่วยให้มีสายตาเป็นปกติ สำหรับสายตาสั้นชนิดรุนแรงซึ่งพบได้เป็นส่วนน้อยอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้

*ผู้ที่มีสายตาผิดปกติ บางคนอาจนิยมใส่เลนส์สัมผัสหรือคอนแท็กต์เลนส์ (contact lenses) ซึ่งมีให้เลือกอยู่หลายชนิด การใช้เลนส์สัมผัสมีข้อควรระวังในการใช้และการดูแลเป็นพิเศษมากกว่าการใส่แว่น หากใช้ไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่ตาและแผลกระจกตา (corneal ulcer) ได้ ก่อนใช้ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด หากพบว่ามีอาการผิดปกติ เช่น รู้สึกเคืองตา น้ำตาไหลมากกว่าปกติ ตาแดง ตามัว เป็นต้น ควรถอดเลนส์สัมผัสออก และไปปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

**ในปัจจุบัน นอกจากเลสิก (LASIK) แล้ว ยังมีวิธีใหม่ ๆ ในการรักษาสายตาสั้นอีกหลายวิธี เช่น Laser-assisted subepithelial keratectomy (LASEK), Photorefractive keratectomy (PRK), Small incision lenticule extraction (SMILE) เป็นต้น ซึ่งมีข้อดี ข้อเสีย ข้อห้ามและข้อควรระวังต่าง ๆ กันไป ควรปรึกษาจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้ได้ความชัดเจนว่าวิธีไหนที่เหมาะกับสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการมองไกลไม่ชัด เด็กมีอาการกะพริบตาหรือขยี้ตาบ่อย ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นสายตาสั้น ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการสายตาสั้นมากขึ้น หรือใส่แว่นสายตาแล้วยังมองเห็นไม่ชัด
    มีอาการตาล้า หรือปวดศีรษะบ่อย
    สงสัยมีภาวะแทรกซ้อนหรือความผิดปกติอื่น ๆ เช่น ปวดศีรษะมาก ปวดตามาก ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน เห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบหรือแสงแฟลช หรือเห็นจุดดำคล้ายเงาหยากไย่หรือแมลงลอยไปมา เป็นต้น

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากเกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างตาที่เป็นมาแต่กำเนิด

อาจลดความเสี่ยงของการเกิดอาการสายตาสั้นลงด้วยการปฏิบัติตัวดังนี้

1. การส่งเสริมให้เด็กวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาวช่วงต้นใช้เวลาอยู่ในที่กลางแจ้งให้มากขึ้น โดยสันนิษฐานว่า แสงอัลตราไวโอเลตจากแสงแดด มีส่วนช่วยยับยั้งไม่ให้กระบอกตามีความยาวมากกว่าปกติ จึงช่วยลดการเกิดสายตาสั้นได้*

2. ดูแลสุขภาพตา เพื่อป้องกันไม่ให้สายตาแย่ลง โดยการปฏิบัติตัวดังนี้

    หมั่นออกกำลังกาย ไม่สูบบุหรี่ และบริโภคอาหารสุขภาพ โดยลดของมัน ของหวาน ของเค็ม และกินผัก ผลไม้และปลาให้มาก ๆ
    ลดการสัมผัสรังสีอัลตราไวโอเลต โดยการสวมแว่นตากันแดดเวลาออกกลางแดดจ้า
    ใส่แว่นสายตาที่เหมาะกับระดับสายตา
    ใส่อุปกรณ์ป้องกันตาเวลาทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บของตา (เช่น เล่นกีฬา ตัดหญ้า ทาสี หรือการสัมผัสสารเคมี)
    ควบคุมโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง (ถ้าเป็นโรคเหล่านี้)
    ป้องกันอาการตาล้า โดยการพักตาเวลาใช้สายตามาก (เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ดูจอคอมพิวเตอร์) ทุก ๆ 20 นาที ให้มองวัตถุที่อยู่ห่างระยะ 20 ฟุต นาน 20 วินาที
    ทำกิจกรรมที่ต้องใช้สายตา (เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ) ในที่ที่มีแสงสว่างที่มากพอ
    หมั่นตรวจเช็กสุขภาพตา (ตามที่แพทย์แนะนำ)

ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่มีสายตาสั้นชนิดไม่รุนแรง อาจไม่ทราบว่าตัวเองมีสายตาผิดปกติเนื่องจากไม่มีอาการที่เด่นชัด ดังนั้น แนะนำว่าคนทั่วไปทั้งเด็กและผู้ใหญ่ควรตรวจวัดสายตาเป็นระยะ ตามโรงเรียนต่าง ๆ ควรมีแผ่นวัดสายตา (ที่นิยมใช้กันคือ Snellen chart) ไว้ตรวจวัดสายตานักเรียนทุกคน ถ้าพบว่าผิดปกติ จะได้ส่งเด็กไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาล

  2. ผู้ที่เป็นสายตาสั้น จะใส่แว่นประจำหรือไม่ก็ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสายตา ความเชื่อที่ว่าใส่แว่นประจำหรือเปลี่ยนแว่นบ่อย ๆ ทำให้ตาสั้นมากขึ้นจึงไม่เป็นความจริง ถ้าสายตาจะสั้นมากขึ้นก็เพราะธรรมชาติของคนคนนั้น โดยทั่วไปเมื่ออายุประมาณ 25 ปี สายตามักจะอยู่ตัว ไม่ต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย

5
tokyo motor show: All-New Mitsubishi XFORCE HEV หลังขับทดสอบบนถนนจริง น่าใช้แค่ไหน ในงบเริ่มต้น 899,000 บาท

All-New Mitsubishi XFORCE HEV เป็นรถที่ทาง มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) เปิดตัวออกมาเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำรถยนต์ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดในตลาดประเทศไทย โดยเป็นรถคอมแพ็กต์เอสยูวีรุ่นใหม่ล่าสุดของ มิตซูบิชิ ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ เร้าใจกับสมรรถนะ ครบครันด้วยความสะดวกสบาย และเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย จากอีกขั้นของการพัฒนา MITSUBISHI e:MOTION ที่ผสาน 3 เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดของแบรนด์มิตซูบิชิ เพื่อยกระดับประสบการณ์การขับขี่ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นด้วยสมรรถนะที่เหนือความคาดหมาย ซึ่ง กูรูช้าง-สินธนุ จำปีศรี ก็ได้เข้าร่วมในการทดลองขับครั้งนี้ เพื่อทดสอบสมรรถนะในเส้นทาง ภูเก็ต – พังงา – ภูเก็ต ได้เจอทั้งทางเรียบ, ทางเขา และออฟโรดเบา ๆ พร้อมการทดสอบอัตราสิ้นเปลืองเชิงแข่งขัน จะไปยังไงงั้นไปดูกันเลย 
 
จัดอยู่ในกลุ่ม B-SUV แต่มีมิติที่ไม่เล็กอย่างที่คิด
เหมาะกับผู้ที่ต้องการรถขับดี เทคโนโลยีครบ โดยไม่ต้องข้ามไปยัง C-SUV

ประสบการณ์การขับขี่
ระบบขับเคลื่อน:
เป็นระบบ Fully Hybrid ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลักในรอบต่ำ
เครื่องยนต์ทำงานประสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างลื่นไหล
ฟีลลิ่ง:
ขับในเมือง: เงียบและนุ่มเหมือน EV
ขับทางไกล: สมรรถนะตอบสนองดีในช่วง 80-120 กม./ชม.
ความเร็วปลายอาจมีแผ่วเล็กน้อย ขึ้นกับระดับแบตเตอรี่
การเลือกโหมดขับขี่:
มีให้เลือกถึง 7 โหมด เช่น Wet, Mud, Tarmac และ EV Mode
แนะนำ: ใช้ Tarmac เมื่อต้องการฟีลขับสนุกใกล้เคียงโหมด Sport

ช่วงล่างและพวงมาลัย
เซ็ตช่วงล่างได้ดีมาก ให้ความเฟิร์ม กระชับ ไม่โยน
พวงมาลัยน้ำหนักเบาแต่แม่นยำ เหมาะกับการขับในเมืองและทางโค้ง
ระบบช่วยเหลือการขับขี่และความปลอดภัย
ระบบ AYC (Active Yaw Control) ช่วยควบคุมแรงบิดแปรผันระหว่างล้อ
ทำให้การลุยทางฝุ่นหรือโคลนลึกทำได้ดี แม้เป็นขับเคลื่อนล้อหน้า

การใช้งานจริง และอัตราสิ้นเปลือง
ทดลองขับแบบประหยัดทำได้ถึง 48.3 กม./ลิตร (สูงสุด 53.9 กม./ลิตร คือตัวเลขสูงสุดที่สื่อท่านอื่นทำได้ในรอบที่กูรูช้างเข้าร่วมกิจกรรม)
การขับใช้งานทั่วไปในเมือง คาดว่าทำได้ 22–23 กม./ลิตร

ห้องโดยสารและความสะดวกสบาย
พื้นที่กว้างขวางกว่าที่คาด โดยเฉพาะช่องเก็บของและประตู
มี ลมเป่าเบา ๆ สำหรับแถวหลัง
ติดตั้งเครื่องเสียง Yamaha 8 ลำโพง ปรับจูนโดยวิศวกร Yamaha พร้อมแดมป์ประตูมาจากโรงงาน เสียงดีเกินคลาส

การเปรียบเทียบคู่แข่ง
รุ่นเปรียบเทียบ   ข้อได้เปรียบของ All-New Mitsubishi XFORCE HEV
Honda HR-V            ช่วงล่าง หนึบกว่า, ขับสนุกกว่า
Toyota Yaris Cross   แรงกว่า ขับดีกว่า, ตัวท็อปราคาใกล้เคียงแต่ได้เทคโนโลยีมากกว่า
Nissan Kicks           พื้นที่ในห้องโดยสาร X-Force กว้างกว่า

ราคาของ All-New Mitsubishi XFORCE HEV
XFORCE HEV Ignite ราคา 899,000 บาท
XFORCE HEV Ultimate ราคา 1,039,000 บาท
XFORCE HEV Ultimate X ราคา 1,089,000 บาท
การรับประกัน
ระบบไฮบริด: รับประกัน 5 ปี
แบตเตอรี่: รับประกัน 10 ปี

สรุปจากกูรูช้าง
All-New Mitsubishi XFORCE HEV คือรถ B-SUV ที่ให้สมรรถนะดีเยี่ยม ช่วงล่างมั่นใจ เทคโนโลยีครบ ขับสนุกในทุกสภาพถนน และยังเหมาะกับการเดินทางไกลหรือทางฝุ่นเบา ๆ ได้สบาย ๆ ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากในงบไม่เกิน 9 แสนถึง 1 ล้านบาท

6
จัดฟันบางนา: เครื่องมือจัดฟันแบบใส มันจำเป็นกับเราจริงหรือไม่
 
หลายคนคงเคยเห็นหรือพบกันการโฆษณาของการจัดฟันแบบใส ว่ามีการใช้เครื่องมือจัดฟันแบบใส ที่จะเน้นจุดเด่นในเรื่องของนวัตกรรม ความทันสมัย เน้นความสวยงาม ทำให้รู้สึกว่า การจัดฟันแบบใสมีความสะดวกสบาย เป็นเรื่องง่ายดาย และเป็นเทรนด์เพราะมีความแตกต่างจากเครื่องมือโลหะติดแน่นทั่วไป แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ชีวิตการจัดฟันด้วยเครื่องมือแบบใส อาจไม่ได้สวยงาม


อย่างที่เราเห็นกันในโฆษณา เพราะต้องอาศัยปัจจัยหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาด การมีวินัยในการสวมใส่เครื่องมือ ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจของการจัดฟันแบบใสเลยก็ว่าได้  แม้ว่าเครื่องมือจัดฟันแบบใส จะมีข้อดีหลายอย่าง ที่เหนือกว่าเครื่องมือแบบติดแน่น แต่อย่างไรก็ตาม นอกจากข้อจำกัดในการเคลื่อนฟันบางรูปแบบแล้ว ความสำเร็จในการจัดฟันด้วยเครื่องมือแบบใส ก็ยังต้องอาศัยความร่วมมือของตัวผู้เข้ารับการจัดฟันด้วย เหมือนกับเครื่องมือจัดฟันแบบอื่นอยู่ดี

แถมในบางกรณี มันอาจต้องการสูงกว่าอีกด้วย จนหลายคนที่คิดที่จะเข้ารับการจัดฟันแบบใสเกิดความกังวลว่า แท้จริงแล้ว เครื่องมือการจัดฟันแบบใสมีความจำเป็นของเราหรือไม่ วันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงเครื่องมือการจัดฟันแบบใส ว่า แท้จริงแล้วมีความจำเป็นหรือไม่ เพื่อให้เป็นแนวทาง สำหรับใครที่กำลังคิดหรือตัดสินใจที่กำลังจะเข้ารับการจัดฟันแบบใส เพื่อที่จะได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และจะได้ทราบถึงวิธรการเตรียมตัวที่จะรับมือกับการรักษา เพื่อมีความพร้อมที่จะสามารถเข้ารับการรักษาได้ทันที
 
สำหรับเครื่องมือจัดฟันแบบใส ในแง่ของคนที่มีปัญหาฟันซ้อนเก ฟันยื่น ฟันสบกันแบบผิดปกติ แน่นอนว่า การเข้ารับการจัดฟันจะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเครื่องมือการจัดฟันแบบใส จะเป็นตัวช่วยที่ทำหน้าที่เคลื่อนฟันไปในตำแหน่งที่เหมาะสมและถูกต้องตามที่ทันตแพทย์ได้ทำการวาางแผนเอาไว้ก่อนเข้ารับการรักษา ซึ่งเครื่องมือการจัดฟันแบบใส Invisalign ทำจากพลาสติกใส เป็นวัสดุที่มีความยืดหยุ่น


ทำให้ง่ายต่อการถอดและสวมใส่เป็นอย่างมาก ซึ่งแตกต่างจากแบบเหล็กดัดฟันที่ต้องใส่ติดกับฟันตลอดเวลาและยังช่วยทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีความเพลิดเพลินกับการรับประทานอาหารได้ตามปกติ โดยไม่มีเรื่องของเครื่องมือการจัดฟันเข้ามาเป็นอุปสรรคในการรับประทานอาหาร อย่างไรก็ตาม การรักษาของด้วยการจัดฟันแบบใส ยังสามารถช่วยให้คุณเห็นภาพทุกขั้นตอนของการรักษา ทำให้ผู้เข้ารับการรักษาได้เห็นภาพของระยะเวลาในการรักษาที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และยังสามารถออกแบบรอยยิ้มให้กับตัวเองได้ด้วย

นั่นหมายความว่า ผู้เข้ารับการรักษาสามารถร่วมวางแผนการรักษาร่วมกับทันตแพทย์ได้ ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดและเป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ อย่างไรก็ตาม  เครื่องมือการจัดฟันแบบใส ถึงแม้จะมีข้อดี แต่ก็ทำให้เครื่องมือชนิดนี้เคลื่อนฟันได้จำกัด ไม่หลากหลายทิศทางเท่าเหล็กจัดฟันทั่วไป ดังนั้นปุ่ม จึงช่วยเพิ่มขีดความสามารถของเครื่องมือแบบใส ปุ่มก็เปรียบเสมือนแบร็กเก็ตที่ติดบนผิวฟัน แผ่นพลาสติกใสก็เปรียบเสมือนลวด ด้วยวิธีนี้ เครื่องมือแบบใสจึงเคลื่อนฟันได้หลากหลายทิศทางขึ้น ดังนั้น ในแง่ของผู้ที่มีปัญหาฟันและมีความพร้อมในหลายๆปัจจัยในการเข้ารับการจัดฟันแบบใส ก็เหมาะสมและจำเป็นต่อเรา เพราะจะช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ


อย่างไรก็ตาม หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์อย่างยาวนานในด้านการจัดฟันแบบใส พร้อมทั้งทางเรายังมีเครื่องมือทางด้านทันตกรรมที่ทันสมัย มีความปลอดภัย และเรายังได้รับการรับรองสูงสุดจากทาง Invisalign ให้สามารถเข้ารับการจัดฟันแบบใสได้อย่างถูกต้อง มีมาตรฐานสากล และมีความน่าเชื่อถือ เพื่อให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีความปลอดภัยในทุกขั้นตอนการรักษา และมีผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ สามารถใช้งานฟันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยส่งเสริมในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน และทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย

7
ปล่อยรถไมล์น้อย BMW 430i Coupe M Sport ปี 2024 ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

บีเอ็มดับเบิลยู BMW Series 4 430i Coupe M Sport ปี 2020
430i  Coupe M Sport พร้อมกลับมาสร้างนิยามใหม่ให้แก่สุนทรียภาพแห่งการขับขี่ในเซกเมนต์รถยนต์พรีเมียมขนาดกลาง มาพร้อมกลิ่นอายที่ผสมผสานทั้งความแข็งแกร่งทรงพลังและความหรูหราในสไตล์คูเป้อันเป็นเอกลักษณ์ ดีไซน์ด้านหน้ารถประกาศถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่ซ้ำใครด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่แนวตั้งที่ยาวลงมาถึงขอบกันชนหน้า ช่องดักอากาศออกแบบในโครงสร้างแบบตาข่ายที่เคยปรากฎเพียงในรุ่นบีเอ็มดับเบิลยู M เท่านั้น กระจังหน้าล้อมรอบด้วยกรอบแบบสามมิติ เส้นสายบนกระโปรงหน้ารถและไฟหน้าได้รับการออกแบบให้มาบรรจบกันที่กระจังหน้า สร้างความโดดเด่นให้แก่กระจังหน้าแบบใหม่ยิ่งขึ้น ช่องดักอากาศบริเวณกันชนหน้าทั้งสองข้างมาในแนวตั้งรับกับกระจังหน้าแบบใหม่ อีกทั้งยังช่วยเน้นย้ำให้ตัวรถดูกว้างยิ่งขึ้น ไฟหน้าทรงเรียวออกแบบให้ลากยาวไปถึงซุ้มล้อหน้า

430i  Coupe M Sport ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo รุ่นใหม่ล่าสุด และเทคโนโลยี Mild Hybrid ยกระดับการโต้ตอบให้ฉับไวกว่า มอบสมรรถนะการขับขี่ได้เต็มพิกัด ส่งพละกำลังสูงสุด 258 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร สามารถเร่งความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 5.8 วินาที ส่วนชุดเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 จังหวะ ได้รับการพัฒนาใหม่ให้มอบการควบคุมที่ปราดเปรียวมากยิ่งขึ้น และยังสามารถควบคุมด้วยแป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย มาพร้อมฟังก์ชั่น Sprint ที่ช่วยปรับค่าเครื่องยนต์และอัตราเปลี่ยนเกียร์เพื่อเสริมการควบคุมที่รวดเร็วทันใจทั้งระหว่างเร่งความเร็วระดับกลางไปถึงความเร็วสูง มาพร้อมล้ออัลลอย M น้ำหนักเบาขนาด 19 นิ้ว ลาย Double-Spoke แบบสลับสี ระบบท่อไอเสีย M Sport

(ราคาขายรวม BSI STANDARD Package) และจะปรับเป็น 4,249,000 บาท ในวันที่ 1 มกราคม 2025

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 24 เม.ย. - 30 เม.ย. 2568
Warranty 100,000 กม. ถึง 10/2028
BSI 200,000 กม. ถึง 10/2028

ราคาพิเศษ 3,090,000 บาท

สนใจสอบถามรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

ข้อมูลทั่วไป

เครื่องยนต์                        เครื่่องยนต์เบนซิน 4 สููบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo
ขนาดเครื่องยนต์ (CC)          1,998 CC
กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)        258 แรงม้า
ระบบเกียร์                          เกียร์ออโต้ 8AT
รูปแบบเกียร์                        พร้อม Steptronic
ระบบเบรค ABS                   มี (EBA)
ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง           เบนซิน 95,แก๊สโซฮอล์ 95 (E10)
ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)            N/A
ระบบจ่ายน้ำมัน                   Direct injection
น้ำหนักตัวรถ                          -
ประเภทยางรถยนต์                   -
ขนาดล้อ (นิ้ว)
ระบบขับเคลื่อน                   ขับเคลื่อนล้อหลัง


8
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


9
จัดฟันบางนา: วิธีทำความสะอาดรีเทนเนอร์อย่างถูกต้อง

การเข้ารับการจัดฟัน เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาฟันที่ได้รับความนิยมมากอีกวิธีหนึ่งทางทันตกรรม เพราะนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปาก เช่น ฟันซ้อนเก ฟันห่าง ฟันไม่สบกัน ได้แล้ว การจัดฟันยังช่วยปรับโครงหน้าของผู้จัดฟันให้เข้ารูปได้ด้วย ดังนั้นการจัดฟันจึงช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและช่วยปรับปรุงบุคลิกภาพให้ดียิ่งขึ้นได้ แต่ภายหลังจากการจัดฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องสวมใส่รีเทนเนอร์ เพื่อให้คงสภาพฟันหลังจากถอดเครื่องมือการจัดฟันออก ซึ่งหลายคนอาจจะละเลยการสวมใส่รีเทนเนอร์ ซึ่งส่งผลให้การจัดฟันเกิดการล้มเหลว กลับมามีปัญหาฟันซ้อน ฟันห่างอีก

เพราะฉะนั้น รีเทนเนอร์ มีส่วนช่วยในการคงตำแหน่งของฟันที่เพิ่งผ่านการจัดมาให้อยู่ตำแหน่งเดิมและทำให้เหงือก รวมถึงกระดูกจัดเรียงตัวให้รองรับตำแหน่งของฟันใหม่ โดยรีเทนเนอร์มีทั้งแบบถอดใส่ได้กับแบบติดถาวร ถือว่าเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญของผู้ที่เข้ารับการจัดฟัน ควรมีวินัยในการใส่เครื่องมือ เพื่อให้การรักษามีผลลัพธ์ที่ดีและมีประสิทธิภาพนั่นเอง สำหรับวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงวิธรการดูแลรักษาความสะอาดของเครื่องมือที่มีความสำคัญมาก สำหรับผู้ที่เข้ารับการจัดฟัน เพื่อให้ทราบถึงวิธีการทำความสะอาดอย่างถูกวิธี เพื่อนำไปใช้ดูแลรักษารีเทนเนอร์ สำหรับผู้ที่เพิ่งผ่านการจัดฟันมา

ก่อนอื่นจะพามารู้จักรีเทนเนอร์ก่อนว่าคืออะไร เพราะหลายๆคนที่ไม่เคยผ่านการจัดฟันมาก่อน อาจจะยังไม่รู้จัก รีเทนเนอร์ คือ เครื่องมือสำหรับคงสภาพฟันหลังจากถอดเครื่องมือหรืออุปกรณ์จัดฟันออกแล้ว การสวมรีเทนเนอร์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันฟันเคลื่อนตัวกลับไปตำแหน่งเดิมหรือผิดรูปไปจากเดิม และในบางกรณีอาจใช้ช่วยจัดตำแหน่งฟัน เพื่อแก้ปัญหาฟันห่างหรือรักษาอาการผิดปกติทางช่องปากบางชนิดได้ด้วย โดยรีเทนเนอร์ 1 ชุด มี 2 ชิ้น คือ ครอบฟันบนและครอบฟันล่าง

สำหรับวัสดุที่ใช้มักทำมาจากโลหะและพลาสติก มีขนาดแตกต่างกันไปตามลักษณะกรามและฟันของแต่ละบุคคล ซึ่งทันตแพทย์จะให้ผู้ที่เข้ารับการจัดฟันแล้วจัดฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว สวมใส่รีเทนเนอร์เพื่อประคองฟันและป้องกันฟันเคลื่อนไปจากตำแหน่งที่จัดไว้ โดยในระยะแรกมักต้องสวมตลอดทั้งวัน ถอดออกแค่ตอนรับประทานอาหารและแปรงฟันเท่านั้น และฟันเริ่มเข้าที่แล้ว ทันตแพทย์จะแนะนำให้สวมรีเทนเนอร์เฉพาะเวลานอนเท่านั้น ซึ่งระยะเวลาในการสวมจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของทันตแพทย์ แต่หากผู้เข้ารับการรักษาไม่สวมใส่รีเทนเนอร์อย่างต่อเนื่องหรือหยุดการใส่รีเทนเนอร์เพราะคิดว่าฟันเข้าที่แล้ว อาจทำให้ฟันค่อยๆ เคลื่อนตัวผิดรูปไปจากเดิม อาจจะทำให้เกิดปัญหาฟันห่างหรือฟันล้ม และจะต้องเข้ารับการจัดฟันใหม่อีกครั้ง ดังนั้น การมีวินัยในการสวมใส่รีเทนเนอร์ ก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ควรที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์ เพื่อผลลัพธ์ที่ดี

นอกจากนี้ วิธีการดูแลรักษาความสะอาดของรีเทนเนอร์ ก็มีเป็นเรื่องที่เราจะต้องเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพราะถ้าหากรีเทนเนอร์มีความสกปรก ไม่สะอาด อาจจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันอื่นๆตามมาได้ เพราะสิ่งสกปรก เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราในช่องปาก จะสะสมอยู่บนรีเทนเทอร์หากละเลยการทำความสะอาด ซึ่งอาจส่งผลให้รีเทนเนอร์เปลี่ยนสีและมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ รวมทั้งอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อในช่องปากตามมาได้ เพราะฉะนั้น ควรที่จะหมั่นล้างทำความสะอาดด้วยวิธีที่ถูกต้อง โดยหลังถอดออกมา ให้ล้างคราบสกปรกที่รีเทนเนอร์ทันที

เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้ทำความสะอาดได้ยากยิ่งขึ้น ควรใช้แปรงสีฟันชนิดขนนุ่มกับน้ำอุ่นที่ผสมยาสีฟันในปริมาณเล็กน้อยแปรงทำความสะอาดรีเทนเนอร์เบาๆ หลังจากการรับประทานอาหาร หรืออาจจะใช้วิธีการใช้ก้านสำลีขนาดเล็กเช็ดบริเวณร่องในรีเทนเนอร์ซึ่งเป็นจุดที่ยากต่อการทำความสะอาด ทั้งนี้ หากหลังการใช้รีเทนเนอร์แล้วพบว่าเหงือกหรือเนื้อเยื่อภายในช่องปากบวมแดงหรือพบอาการผิดปกติใดๆ ภายในช่องปาก ควรรีบไปพบแพทย์ทันที ทางคลินิกอยากให้ทุกคนรักษาสุขอนามัยของช่องปากและฟัน เพื่อป้องกันการเกิดฟันผุ เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรงได้

10
การทำอาหารไทยสามารถเป็นอาชีพเสริม ที่ทำกำไรได้อย่างไรที่แข็งแกร่งและดึงดูดลูกค้าประจำได้

อาหารไทยเป็นที่รู้จักทั่วโลกในด้านรสชาติที่เข้มข้น กลิ่นหอมของเครื่องเทศและรสชาติที่สมดุลอันเป็นเอกลักษณ์ของรสหวาน เปรี้ยว เค็มและเผ็ด หากคุณหลงใหลในการทำอาหาร การเปลี่ยนอาหารไทยให้เป็นธุรกิจเสริมอาจเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการสร้างรายได้เสริม ไม่ว่าคุณจะต้องการเริ่มต้นธุรกิจอาหารที่บ้านขนาดเล็ก เปิดสอนทำอาหารออนไลน์ หรือขายผลิตภัณฑ์ไทยที่ทำเองที่บ้าน มีโอกาสมากมายให้คุณได้สำรวจ

การทำอาหารไทยเป็นอาชีพเสริมที่น่าสนใจและสร้างรายได้ได้ดี เพราะอาหารไทยเป็นที่นิยมทั้งในและต่างประเทศ มีหลายช่องทางที่คุณสามารถทำได้ เช่น:
1. ระบุจุดแข็งในการทำอาหารของคุณ
ก่อนเริ่มต้นธุรกิจ ควรพิจารณาว่าคุณเก่งในการทำอาหารไทยประเภทใด ตัวเลือกยอดนิยม ได้แก่:
ผัดไทย – ผัดหมี่จานโปรดของใครหลายๆ คน
ต้มยำกุ้ง – ต้มยำกุ้งรสเปรี้ยวเผ็ด
แกงเขียวหวาน – แกงกะทิเนื้อครีมหอมละมุน
ข้าวเหนียวมะม่วงขนมไทยชื่อดัง
การมุ่งเน้นไปที่เมนูเด่นเพียงไม่กี่รายการสามารถช่วยให้คุณสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและดึงดูดลูกค้าประจำได้

2. เลือกโมเดลธุรกิจของคุณ
มีหลายวิธีในการสร้างรายได้จากทักษะการทำอาหารไทยของคุณ:
บริการจัดส่งอาหารถึงบ้าน – ปรุงและส่งอาหารไทยจากครัวของคุณ
แผงขายอาหารริมถนนหรือบูธในตลาด – ขายอาหารจานสดๆ ในพื้นที่ที่พลุกพล่าน
คลาสเรียนทำอาหารออนไลน์ – สอนทำอาหารไทยผ่าน Zoom หรือ YouTube
จำหน่ายน้ำพริกแกงและเครื่องปรุงไทย – ผลิตและจำหน่ายพริกแกง น้ำจิ้ม และของว่างต่างๆ
แต่ละรุ่นมีต้นทุนการลงทุนที่แตกต่างกัน จึงควรเลือกรุ่นที่เหมาะกับงบประมาณและไลฟ์สไตล์ของคุณ

3. เข้าใจข้อกำหนดทางกฎหมาย
ก่อนเปิดธุรกิจของคุณ โปรดตรวจสอบกฎหมายท้องถิ่นและข้อบังคับด้านความปลอดภัยของอาหาร คุณอาจจำเป็นต้อง:
ใบ อนุญาตประกอบ ธุรกิจอาหาร
ครัวที่ได้รับการรับรองหากกฎหมายกำหนด
การบรรจุและการติดฉลากที่ถูกต้องเหมาะสมสำหรับการขายผลิตภัณฑ์อาหาร

4. ใช้การตลาดดิจิทัลเพื่อขยายแบรนด์ของคุณ
ส่งเสริมธุรกิจอาหารไทยของคุณโดยใช้:
โซเชียลมีเดีย – แบ่งปันรูปภาพ สูตรอาหาร และวิดีโอการทำอาหารบน Instagram, Facebook หรือ TikTok
แอปส่งอาหาร – ลงทะเบียนกับแพลตฟอร์มเช่น UberEats หรือ Foodpanda
เว็บไซต์ส่วนตัว – จัดแสดงเมนูของคุณและรับคำสั่งซื้อทางออนไลน์
การมีส่วนร่วมกับลูกค้าผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลสามารถช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น

5. เสนอสิ่งที่ไม่ซ้ำใคร
หากต้องการโดดเด่นกว่าคู่แข่ง ให้ลองทำดังนี้:
สร้างสรรค์อาหารฟิวชั่นโดยการผสมผสานรสชาติอาหารไทยกับอาหารอื่นๆ
ให้บริการเตรียมอาหารด้วยอาหารไทยปรุงสำเร็จสำหรับลูกค้าที่ยุ่งวุ่นวาย
จัดเตรียมเมนูอาหารเฉพาะสำหรับผู้มีอาหารพิเศษ เช่น อาหารไทยแบบมังสวิรัติหรือคีโต

6. เริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ และค่อยๆ ขยายออกไป
หากคุณเพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจ ให้เริ่มจากธุรกิจเล็กๆ ก่อน เช่น ขายให้กับครอบครัว เพื่อนฝูง และชุมชนท้องถิ่น รวบรวมคำติชมและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของคุณก่อนจะขยายกิจการ

การทำอาหารไทยเป็นธุรกิจเสริมไม่เพียงแต่เป็นวิธีที่ดีในการหารายได้พิเศษเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการแบ่งปันมรดกทางวัฒนธรรมการทำอาหารอันล้ำค่าของประเทศไทยกับผู้อื่นอีกด้วย ด้วยกลยุทธ์ การตลาด และความทุ่มเทที่เหมาะสม คุณสามารถเปลี่ยนความหลงใหลในการทำอาหารของคุณให้กลายเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้


11
โทรศัพท์มือถือใหม่ 2025: เสียวหมี่ Xiaomi 14 Ultra (16GB/512GB)
40,990 บาท

เสียวหมี่ Xiaomi 14 Ultra (16GB/512GB)
เลนส์ออปติคอล Summilux จาก Leica เลนส์ Telephoto แบบลอยตัว ขนาด 75 มม. และเลนส์ Periscope ขนาด 120 มม.
กล้องหลักขนาด 1 นิ้ว จาก Leica รูรับแสงระหว่าง F1.63 ถึง F4.0
ระบบกล้องสี่ตัวจาก Leica สี่เลนส์ หกความยาวโฟกัส
จอแสดงผล All Around Liquid Display การออกแบบที่เรียบหรู การรับชมที่ดื่มด่ำ
ชิปเซ็ต Snapdragon® 8 Gen 3 ความเร็วพิเศษและการประหยัดพลังงานสำหรับการใช้งานตลอดทั้งวัน*
จอแสดงผล WQHD+ dynamic 1-120Hz AMOLED การตอบสนองที่ราบรื่นเป็นพิเศษพร้อมรายละเอียดที่น่าทึ่ง

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น             เสียวหมี่ Xiaomi 14 Ultra (16GB/512GB)
   ราคากลาง          40,990 บาท
   จำนวนซิม          2 ซิม (Nano Sim)
   แบบดีไซน์         จอสัมผัส
   สี                   White, Black
   ความถี่-เครือข่าย
2G(GSM: 2/3/5/8)
3G(WCDMA: 1/2/4/5/6/8/19)
4G(LTE FDD: 1/2/3/4/5/7/8/18/19/20/26/28/66* LTE TDD: 38/40/41/42/48)
5G(NR: n1/2/3/5/7/8/20/28/38/40/41/48/66*/77/78/79)

   ขนาด-น้ำหนัก                    ยาว 161.4 x กว้าง 75.3 x หนา 9.2 มม., น้ำหนัก 219.8 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)    512 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด      -
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ       ความจุแบตเตอรี่ 5,000 mAh

จอแสดงผล
   ชนิดจอ                 จอสัมผัส (AMOLED)
   ความละเอียด          6.73 นิ้ว, 522 ppi, 1,440 x 3,200 px
   รายละเอียดอื่น
จอแสดงผล All Around Liquid Display
WQHD+ 6.73" AMOLED
3200 x 1440, 522 ppi
LTPO, AdaptiveSync Pro
อัตรารีเฟรช: ไดนามิกตั้งแต่ 1-120Hz
ความไวตอบสนองการสัมผัส: สูงสุด 240Hz
*ความไวตอบสนองการสัมผัสอาจแตกต่างกันออกไปตามเนื้อหาบนหน้าจอ
ประเภทวัสดุ OLED: แผงจอ C8 ที่ปรับโดย Xiaomi
ความสว่าง: HBM 1000 nits (typ), ความสว่างสูงสุด 3000 nits
หน้าจอ Pro HDR รองรับ UltraHDR
Dolby Vision®
HDR10+
6.8 หมื่นล้านสี
ช่วงสี: DCI-P3
หน้าจอ TrueColor
สีสันที่ปรับอัตโนมัติ
สีดั้งเดิมโปร
โหมดอ่านหนังสือปรับอัตโนมัติ
โหมดแสงอาทิตย์
การหรี่ไฟ DC / การหรี่ไฟ PWM 1920Hz
ได้รับการรับรองแสงสีฟ้าต่ำจาก TÜV Rheinland (ฮาร์ดแวร์โซลูชัน)
ได้รับใบรับรองความไร้ซึ่งแสงกะพริบจาก TÜV Rheinland
ได้รับใบรับรองความเป็นมิตรกับนาฬิกาชีวภาพจาก TÜV Rheinland
Xiaomi Shield Glass

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด                กล้องหลัง (50 Mpx), กล้องหน้า (32 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                              -

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)              Snapdragon 8 Gen 3
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)      Qualcomm Adreno GPU
   หน่วยความจำ (RAM)                12.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก                 USB, Bluetooth, NFC, Wi-Fi
   ระบบรับส่งข้อความ                      -
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต             3G, WiFi, 4G, 5G

12
จัดฟันบางนา: การทำความสะอาดเครื่องมือการจัดฟันแบบใส ไม่ให้มีกลิ่น

การรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟัน ถือเป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพราะสุขภาพช่องปากและฟันนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญและเราจะต้องดูแลรักษาให้มีความสะอาดอยู่เสมอ สุขภาพช่องปากและฟันของเรา มีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเรา เพราะเราจะต้องรับประทานอาหารทุกวันและด้วยเหตุนี้เอง

เราจะต้องทำความสะอาด เพื่อไม่ให้คราบอาหารเข้าไปติดและเกิดการสะสม จนส่งผลให้เกิดฟันผุหรือปัญหาอื่นๆตามมาได้ อาจจะร้ายแรงจนถึงขั้นเกิดการสูญเสียฟันธรรมชาติไปได้เลย และถ้าหากเกิดการสูญเสียฟันแล้ว ก็อาจจะส่งผลทำให้เกิดความเสียหายแก่ฟันข้างเคียงได้ นั่นก็คือ การเกิดฟันล้ม ฟันห่าง ซึ่งหากมีช่องว่างระหว่างฟัน ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาอีกมากมายตามมา และอาจจะส่งผลไปถึงการบดเคี้ยวอาหารได้ ซึ่งปัญหาฟันในลักษณะนี้ สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟัน ซึ่งการจัดฟันนั้น สามารถแก้ไขฟันได้แทบทุกกรณี และยังได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน

แต่การจัดฟันนั้น ในสมัยนี้ก็มีนวัตกรรมที่เกิดขึ้นมามากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ การจัดฟันแบบใส ซึ่งการจัดฟันแบบใสนั้น เป็นการจัดฟันที่มีความสะดวก เพราะผู้เข้ารับการจัดฟันจะสามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันออกได้ ในขณะที่รับประทานอาหารและในขณะที่ทำความสะอาดช่องปากและฟัน ถึงแม้ว่า จะสามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันได้ขณะรับประทานอาหารและแปรงฟัน แต่เครื่องมือการจัดฟันแบบใสนั้น เราก็ต้องทำความสะอาดเป็นประจำทุกวัน เพื่อไม่ให้เครื่องมือการจัดฟันมีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ และไม่เกิดการสะสมของเชื้อโรค ดังนั้น เราก็จะต้องทำความสะอาดอย่างถูกวิธี เพื่อที่จะได้สวมใส่เครื่องมือที่มีความสะอาด ปราศจากกลิ่นอันไม่พึงประสงค์


สำหรับการทำความสะอาดเครื่องมือการจัดฟันแบบใส เราสามารถทำได้ด้วยการนำเครื่องมือการจัดฟันแบบใส ด้วยการใช้น้ำในอุณหภูมิปกติมาถูกับสบู่ทำความสะอาด หลายคนนำแปรงสีฟันมาถูแต่การนำแปรงสีฟันมาถูกับเครื่องมือการจัดฟันแบบใสนั้นอาจจะทำให้เกิดรอยบนเครื่องมือได้ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและแบคทีเรียต่างๆอาจจะทำให้เกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้เพราะฉะนั้นการทำความสะอาดที่ถูกต้องก็ควรนำน้ำในอุณหภูมิปกติมาถูกกับสบู่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วนอกจากนี้ผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสจะต้องดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันให้ดีเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดกลิ่นปากได้เช่นเดียวกัน

นอกจากนี้วิธีการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันของผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสนั้น และวิธีปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง ก็คือควรจะสวมใส่ตลอดเวลาหรืออย่างน้อยวันละ 20 -22 ชั่วโมงก็จะช่วยทำให้เรามีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีมี ฟันที่สวยเป็นธรรมชาติและหลังจากการแปรงฟันทุกครั้งให้ใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดตามซอกฟันที่การทำความสะอาดเข้าถึงได้ยากนอกจากนี้ ผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสในช่วงที่สวมใส่ก่อนเข้าไปช่วงแรกๆช่องปากอาจต้องปรับตัวกับการสวมใส่เครื่องมือแบบใส อาจจะทำให้ผลิตน้ำลายมากกว่าปกติ ซึ่งการดื่มน้ำให้มากๆก็จะสามารถช่วยปัญหาในเรื่องนี้ได้ ทางคลินิกเรามีบริการการจัดฟันแบบใส โดยทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ที่มีประสบการณ์มานานกว่า 10 ปี คอยให้คำปรึกษา หากใครสนใจสามารถติดต่อเข้ารับการประเมินช่องปากในเบื้องต้นได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ


และถ้าหากสนใจทางคลินิกเรามีโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับผู้ที่สนใจ โดยราคาเริ่มต้นที่ 49,000 บาท จากปกติ 69,000 บาท ซึ่งทำให้ทุกคนได้มีโอกาสมีรอยยิ้มที่สดใส สวยงามเป็นธรรมชาติ เพื่อให้ทุกคนได้มีบุคลิกภาพที่มั่นใจ เป็นที่น่าประทับใจแก่ผู้พบเห็น อย่างไรก็ตาม ทางคลินิก เราอยากให้ทุกคนมีรอยยิ้มที่มั่นใจ ดังนั้น ทุกคนควรที่จะใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันให้มากเป็นพิเศษ เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากที่แข็งแรง ช่วยทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

13
money expo 2025: สินเชื่อส่วนบุคคล เหมาะกับใคร คือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจริงหรือ?

ก่อนจะขอสินเชื่อเราจะต้องรู้จักและเข้าใจวัตถุประสงค์ของสินเชื่อนั้น ๆ ก่อนนะคะ เพราะสินเชื่อมีหลากหลาย ก็ต้องเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการของเราที่สุด เมื่อเกิดปัญหาการเงิน ก็จะมีสินเชื่อประเภทนึงค่ะ ที่ออกมาเพื่อคนต้องการเงินฉุกเฉินโดยเฉพาะ วันนีัเราจะพูดถึง "สินเชื่อส่วนบุคคล" กันค่ะ ว่ายืนหนึ่งเรื่องการเป็นเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำที่สุดสำหรับคนต้องการเงินด่วนจริงหรือเปล่า

สินเชื่อส่วนบุคคล คืออะไร
สินเชื่อส่วนบุคคล คือ วงเงินสินเชื่ออเนกประสงค์เพื่อนำไปใช้จ่ายในเรื่องต่างๆ ได้ตามต้องการ
 
อัตราดอกเบี้ย และระยะเวลาชำระคืน
จะคิดอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (Effective Rate) ประมาณ 9% - 28% ต่อปี รวมค่าบริการต่าง ๆ และเบี้ยปรับแล้วไม่เกิน 25% ต่อปี (อัตราต่ำสุดถึงอัตราสูงสุด) 16% - 25% ต่อปี สำหรับระยะเวลาชำระคืนมีตั้งแต่ 24 เดือน, 36 เดือน หรือสูงสุดถึง 60 เดือน
 
ขอสินเชื่อส่วนบุคคลต้องมีรายได้เท่าไหร่
เงินเดือนเริ่มต้น 10,000 บาท ก็สามารถยื่นขอสินเชื่อได้แล้ว หรือบางสถาบันการเงินอาจอยู่ที่เงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท
 
ใครเหมาะกับสินเชื่อส่วนบุคคล

1. ผู้ที่มีความต้องการเงินก้อน หรือต้องการเงินฉุกเฉินเพื่อใช้เป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมบ้าน ค่าเทอม เป็นต้น
2. ผู้ที่ต้องเงินก้อนไปเป็นทุนในการทำธุรกิจหรือเพิ่มสภาพคล่องในธุรกิจ
3. ผู้ที่ต้องการชำระหนี้สิน หรือใช้ในการรวมหนี้
 
สินเชื่อส่วนบุคคลจัดว่าตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการเงินก้อนเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉินต่าง ๆ แน่นอนว่าเมื่อเราได้รับการอนุมัติสินเชื่อนั้นมาแล้ว ก็ต้องใช้จ่ายอยา่งระมัดระวังนะคะ ใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุด และอย่าลืมต้องชำระคืนให้ตรงเวลาด้วย

14
ข้อควรระวังสำคัญในการใช้งานท่อลมร้อน

ข้อควรระวังสำคัญในการใช้งานท่อลมร้อนในโรงงานเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุดตลอดเวลา เนื่องจากลมร้อนที่ส่งผ่านท่อมีอุณหภูมิสูงและบางครั้งก็มีแรงดัน ซึ่งสามารถก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม นี่คือประเด็นหลักที่ต้องระมัดระวัง:

1. อันตรายจากการสัมผัสโดยตรงและการไหม้ (Burn Hazard)

พื้นผิวร้อน: ท่อลมร้อนมีอุณหภูมิพื้นผิวสูงมาก แม้จะหุ้มฉนวนแล้วก็ตาม หากฉนวนชำรุด หรือไม่มีฉนวนในบางจุด (เช่น หน้าแปลน, วาล์ว) การสัมผัสโดยตรงเพียงเสี้ยววินาทีก็สามารถทำให้เกิดแผลไหม้รุนแรงได้
ลมร้อนรั่วไหล: หากท่อมีการรั่วไหล ลมร้อนที่ออกมาอาจพุ่งออกมาด้วยความเร็วและอุณหภูมิสูง ทำให้เกิดแผลไหม้ได้แม้จะอยู่ห่างจากท่อเล็กน้อย
ข้อควรระวัง:
หุ้มฉนวนอย่างสมบูรณ์: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่อทุกส่วนที่อาจสัมผัสได้ถูกหุ้มฉนวนอย่างเหมาะสมและแข็งแรง
ป้ายเตือน: ติดตั้งป้ายเตือน "ระวัง! ร้อนจัด" หรือสัญลักษณ์เตือนความร้อนสูงในบริเวณใกล้เคียงท่อที่มองเห็นได้ชัดเจน
สิ่งกีดขวาง: หากท่ออยู่ในบริเวณที่มีการจราจรของคน ควรติดตั้งรั้วกั้นหรือสิ่งกีดขวางทางกายภาพเพื่อป้องกันการสัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจ
PPE: บุคลากรที่ทำงานใกล้ท่อลมร้อนต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ที่เหมาะสม เช่น ถุงมือกันความร้อน, ชุดป้องกันความร้อน


2. อันตรายจากแรงดันและการระเบิด (Pressure & Explosion Hazard)

แรงดันลมสูง: ท่อลมร้อนบางระบบอาจทำงานภายใต้แรงดันสูง หากเกิดการแตกร้าวหรือท่อระเบิด แรงลมร้อนและเศษวัสดุที่กระเด็นออกมาอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
การสะสมของสารไวไฟ: หากลมร้อนปนเปื้อนด้วยไอระเหยของสารไวไฟ หรือมีการรั่วไหลของสารไวไฟภายนอกมารวมตัวกันใกล้ท่อร้อน อาจก่อให้เกิดการระเบิดได้
ข้อควรระวัง:
ใช้งานในขีดจำกัด: ห้ามเดินระบบท่อลมร้อนที่อุณหภูมิหรือแรงดันเกินกว่าค่าที่ออกแบบไว้
ตรวจสอบการรั่วไหล: หมั่นตรวจสอบการรั่วไหลอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะที่รอยเชื่อม, หน้าแปลน, และวาล์ว
อุปกรณ์ความปลอดภัย: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าวาล์วระบายแรงดัน (Safety Relief Valves), ระบบเตือนภัยแรงดันเกิน, และระบบตัดการทำงานฉุกเฉิน (ESD) ทำงานได้อย่างถูกต้องและได้รับการสอบเทียบตามกำหนด
การควบคุมสารไวไฟ: หากระบบทำงานในบริเวณที่มีสารไวไฟ ต้องมีมาตรการป้องกันการสัมผัสระหว่างลมร้อนกับสารไวไฟอย่างเข้มงวด


3. อันตรายจากเพลิงไหม้ (Fire Hazard)

ความร้อนสูง: ลมร้อนที่รั่วไหล หรือการสัมผัสโดยตรงของท่อร้อนที่ไม่มีฉนวน/ฉนวนเสียหายกับวัสดุติดไฟได้ (เช่น ฝุ่น, น้ำมัน, กระดาษ, ไม้) อาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้
Corrosion Under Insulation (CUI): การกัดกร่อนที่เกิดขึ้นใต้ฉนวนอาจทำให้ท่อบางลงและทะลุ ทำให้ลมร้อนรั่วออกมาสัมผัสกับฉนวนหรือสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดเพลิงไหม้
ข้อควรระวัง:
ระยะห่างปลอดภัย: รักษาระยะห่างที่ปลอดภัยระหว่างท่อลมร้อนกับวัสดุติดไฟได้ตามมาตรฐาน NFPA หรือข้อกำหนดของโรงงาน
ควบคุมสารไวไฟ: หลีกเลี่ยงการสะสมของสารไวไฟหรือของเสียที่ติดไฟง่ายใกล้ท่อลมร้อน
ฉนวนกันไฟ: เลือกใช้ฉนวนที่ไม่ติดไฟและไม่ปลดปล่อยควันพิษเมื่อถูกความร้อน
ระบบดับเพลิง: ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีอุปกรณ์ดับเพลิงที่เหมาะสมและทำงานได้ดีในบริเวณใกล้เคียง


4. อันตรายจากการทำงานที่ผิดพลาด (Operational Error Hazard)

การควบคุมที่ไม่ถูกต้อง: การตั้งค่าอุณหภูมิหรือแรงดันผิดพลาด, การเดินระบบหรือหยุดระบบอย่างกะทันหัน อาจทำให้เกิดความเค้นต่อท่อและอุปกรณ์
ข้อควรระวัง:
SOPs: มีขั้นตอนปฏิบัติงานมาตรฐาน (SOPs) ที่ชัดเจนและบุคลากรต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดสำหรับการเดินระบบ, การหยุดระบบ, และการบำรุงรักษา
การฝึกอบรม: พนักงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานท่อลมร้อนทุกคนต้องได้รับการฝึกอบรมอย่างสม่ำเสมอเกี่ยวกับขั้นตอนการทำงานที่ถูกต้อง, การใช้ระบบควบคุม, การตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉิน และการระบุอันตราย


5. ปัญหาจากความเสียหายของท่อ/อุปกรณ์ (Pipe/Equipment Degradation Hazard)

การกัดกร่อน: การกัดกร่อนทั้งจากภายใน (สารปนเปื้อนในลม) และภายนอก (สิ่งแวดล้อม, CUI) ทำให้ผนังท่อบางลงและเสี่ยงต่อการรั่วไหล
การล้า (Fatigue) และการคืบ (Creep): การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิซ้ำๆ หรือการใช้งานที่อุณหภูมิสูงเป็นเวลานานอาจทำให้วัสดุเกิดการล้าหรือคืบ ทำให้ท่อแตกร้าวได้
ข้อควรระวัง:
การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (PM): ดำเนินการตรวจสอบและบำรุงรักษาตามตารางเวลาอย่างสม่ำเสมอ (เช่น การตรวจสอบด้วยสายตา, Thermal Camera, UT Thickness Gauging)
ซ่อมแซมทันที: เมื่อพบความเสียหายของฉนวน, รอยรั่วเล็กน้อย, หรือสนิม ต้องทำการซ่อมแซมทันที อย่าปล่อยทิ้งไว้
LOTO: ปฏิบัติตามขั้นตอน Lockout/Tagout (LOTO) อย่างเคร่งครัดก่อนการบำรุงรักษาหรือซ่อมแซมใดๆ

การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่เข้มแข็ง การอบรมพนักงานอย่างสม่ำเสมอ และการบำรุงรักษาระบบอย่างเคร่งครัด เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงและรับประกันความปลอดภัยในการใช้งานท่อลมร้อนในโรงงานครับ


15
ความเชื่อผิดๆของการจัดฟันเด็ก

การจัดฟันในเด็ก สามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่ตอนที่เด็กอายุ 6-7 ขวบ พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรนำบุตรหลานที่มีอายุต่ำว่า 10 ปี มาตรวจกับทันตแพทย์จัดฟันได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวัยรุ่น เพราะในวัยเด็กเป็นช่วงที่ฟันกำลังพัฒนาและขากรรไกรเติบโต และถ้าตรวจพบปัญหาฟันซ้อน การสบฟันผิดปกติ จะสามารถแก้ไขได้ง่ายมากกว่าการจัดฟันตอนเป็นผู้ใหญ่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่า การจัดฟันในเด็กสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ การที่เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย จะช่วยสร้างโอกาสในการเรียนรู้ของเด็กได้อย่างแน่นอน

นอกจากจะแก้ไขปัญหาฟันแล้ว ยังช่วยในเรื่องของความผิดปกติของกล้ามเนื้อใบหน้าด้วย ซึ่งในข้อนี้พ่อแม่ผู้ปกครองอาจจะยังไม่ทราบ ซึ่งหากพ่อแม่ผู้ปกครองพบความผิดปกติของใบหน้าหรือรูปร่างฟัน ก็ควรพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์เพื่อตรวจและแก้ไขทันที ไม่ควรละเลยและปล่อยให้ปัญหาลุกลามไปจนถึงตอนโต เนื่องด้วยพ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่อาจจะคิดว่าฟันน้ำนมของเด็กไม่มีความสำคัญ จึงละเลยที่จะสอนเด็กให้รู้จักวิธีการทำความสะอาดของช่องปากและฟันตั้งแต่เด็ก เพราะคิดว่ารอให้โตก่อนค่อยสอนให้เด็กแปรงฟันอย่างถูกวิธี

ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิด เพราะจะเป็นการปล่อยให้ปัญหาฟันลุกลามได้ นอกจากนี้ ผู้ปกครองหลายคนก็ยังมีความเชื่อที่ผิดๆ เกี่ยวกับการจัดในเด็ก หรืออาจจะยังไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ในการพาบุตรหลานของท่านเช้ารับการจัดฟัน จึงมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ ดังนั้น วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเรื่องของความเชื่อที่ผิดๆของการจัดฟันในเด็ก ที่พ่อแม่ผู้ปกครองอาจจะยังไม่เข้าใจ เพื่อที่จะได้เปลี่ยนมุมมองในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก รวมไปถึงจะได้เข้าใจในเรื่องของการจัดฟันในเด็กเพิ่มมากขึ้น
 
หากพูดถึงเรื่องของการจัดฟันไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด และสำหรับเด็กหรือผู้ใหญ่ หลายคนอาจจะยังมีความเชื่อที่ผิดๆว่า การจัดฟัน มีไว้สำหรับเด็กเท่านั้น มักจะคิดว่า การจัดฟันนั้นมีเพียงเด็กๆ เท่านั้นที่ทำกัน คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ไปจัดฟันก็ไม่มีประโยชน์อะไร นี่เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะจริงๆ แล้ว ไม่มีใครแก่เกินกว่าจะจัดฟัน เพราะเราทุกคนมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาเกี่ยวกับฟันได้ และไม่ว่าจะวัยไหน ก็สามารถเข้ารับการจัดฟันได้ เพียงแต่ว่า การจัดฟันในเด็กนั้น

จะดีกว่าวัยผู้ใหญ่เพราะสามารภแก้ไขปัญหาได้ดีกว่า และไม่มีความซับซ้อนเท่ากับการจัดฟันในผู้ใหญ่ จึงไม่แปลกที่พ่อแม่ผู้ปกครองยังมีความคิดที่ผิดๆเกี่ยวกับการจัดฟันในเด็ก นอกจากนี้ยังมีความคิดที่ว่า เมื่อเข้ารับการจัดฟันเสร็จแล้วฟันก็จะอยู่ในสภาพนั้นตลอดไป ซึ่งคนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่า หลังจากถอดเครื่องมือจัดฟันเสร็จแล้วก็จบกัน ฟันของคุณจะเรียงตัวสวยอยู่สภาพนั้นไปตลอด ไม่เปลี่ยนแปลงไปอีกเลยตลอดกาล นี่เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่ไม่เป็นจริง หลังจากที่คุณจัดฟันเสร็จแล้ว ฟันของคุณยังสามารถมีการเคลื่อนที่อยู่ต่อไปได้อีก

ดังนั้นคุณจึงจำเป็นจะต้องใส่ รีเทนเนอร์ ไปอีกตลอดชีวิต เพื่อรักษารูปแบบของฟันให้คงอยู่ดังเดิม และไม่ให้ฟันล้ม จนต้องกลับมาจัดฟันใหม่อีกครั้ง เช่นเดียวกับการจัดฟันในเด็ก พ่อแม่หลายคนมองว่า เมื่อเข้ารับการจัดฟันในวัยเด็กแล้ว เมื่อโตไปจะไม่ทำให้เกิดฟันเกี่ยวกับฟันอีก ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะถ้าหากเข้ารับการจัดฟันในวัยเด็ก และไม่มีวินัยในการสวมใส่รีเทนเนอร์ภายหลังจากการจัดฟันเสร็จแล้ว 

 อาจจะทำให้เด็กกลับมามีสภาพฟันที่ผิดปกติได้ ดังนั้น ระหว่างการจัดฟันในเด็ก พ่อแม่ควรแนะนำและสอนให้เด็กมีวินัยในการสวมใส่เครื่องมือคงสภาพฟัน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องจัดฟันซ้ำเป็นครั้งที่สอง ส่วนในเรื่องของกรรับประทานอาหาร พ่อแม่เกรงว่าลูกจะไม่ได้รับประทานอาหารอย่างเต็มที่

เนื่องจากมีเครื่องมือกรจัดฟัน อันนี้พ่อแม่ผู้ปกครองควรทำความเข้าใจก่อนว่า การเข้ารับการจัดฟันในเด็กนั้น แม้จะมีเครื่องมือในการจัดฟันอยู่ภายในช่องปากแต่ก็ทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟัน สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ เพียงแต่ต้องระมัดระวังเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นเอง ทั้งหมดนี้คือความเชื่อที่ผิดๆ ของการจัดฟันในเด็กที่พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนกังวล ซึ่งอาจจะทำให้เป็นอุปสรรคหรือลดโอกาสในการเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้
 
หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านไหน สนใจให้บุตรหลานของท่าน เข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยโปรแกรม EF Line ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำและปรึกษากับทางทันตแพทย์ของทางคลินิก ได้ เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการจัดฟันในเด็ก มีประสบการณ์ด้านทันตกรรมในเด็กมาอย่างยาวนาน จึงเป็นการการันตีได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพฟันที่ดี และมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามอย่างแน่นอน

หน้า: [1] 2 3 ... 50