ผู้เขียน หัวข้อ: ไวรัสตับอักเสบคืออะไร มีกี่ชนิด ติดต่อทางไหน มีอาการอย่างไร  (อ่าน 5 ครั้ง)

siritidaphon

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 803
  • ลงโฆษณาฟรี ประกาศขายสินค้าออนไลน์ ซื้อขายแลกเปลี่ยน
    • ดูรายละเอียด
ไวรัสตับอักเสบคืออะไร มีกี่ชนิด ติดต่อทางไหน มีอาการอย่างไร

ไวรัสตับอักเสบ (Viral Hepatitis) คือ ภาวะที่ตับเกิดการอักเสบเนื่องจากการติดเชื้อไวรัสโดยตรง ทำให้เซลล์ตับถูกทำลายและอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็ง และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับได้ในระยะยาว

มีไวรัสตับอักเสบหลักๆ 5 ชนิดที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในคน ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ (A), บี (B), ซี (C), ดี (D) และ อี (E) ซึ่งแต่ละชนิดมีวิธีการติดต่อและผลต่อตับที่แตกต่างกันครับ

1. ไวรัสตับอักเสบ เอ (Hepatitis A virus: HAV)

การติดต่อ:

ทางอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อโรค (Fecal-Oral Route): เกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อนมากับอุจจาระของผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะอาหารที่ปรุงไม่สุก หรืออาหารที่ปนเปื้อนจากผู้ประกอบอาหารที่ไม่ล้างมือ

สุขอนามัยที่ไม่ดี

อาการ:

มักเป็นแบบ เฉียบพลัน และส่วนใหญ่หายเป็นปกติได้เอง ไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้อเรื้อรัง ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ

อาการมักเริ่มหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 2-6 สัปดาห์

อาการที่พบ:

ไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า

เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน

ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณชายโครงขวา (ตำแหน่งของตับ)

ปัสสาวะสีเข้มผิดปกติ

อุจจาระสีซีด

ตัวเหลือง ตาเหลือง (ดีซ่าน)

ในเด็กเล็กมักไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย


2. ไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B virus: HBV)

การติดต่อ:

ทางเลือดและสารคัดหลั่ง: เป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อ

จากแม่สู่ลูก: ติดต่อจากมารดาที่ติดเชื้อสู่ทารกขณะคลอด (พบบ่อยที่สุดในประเทศไทยหากไม่ได้รับการป้องกัน)

เพศสัมพันธ์: มีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อโดยไม่ป้องกัน

การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน: ในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติด

การใช้ของมีคมร่วมกัน: เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน กรรไกรตัดเล็บ

การรับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดที่มีเชื้อ (พบน้อยลงมากในปัจจุบันเนื่องจากมีการคัดกรองอย่างดี)

อาการ:

ระยะเฉียบพลัน: ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจไม่มีอาการ หรือมีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น อ่อนเพลีย มีไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อย คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้อง (จุกแน่นชายโครงขวา) ปัสสาวะสีเข้ม ตัวเหลือง ตาเหลือง อาการมักจะเป็นอยู่ประมาณ 2-3 สัปดาห์

ระยะเรื้อรัง: เป็นชนิดที่สำคัญและอันตรายที่สุด หากเชื้ออยู่ในร่างกายเกิน 6 เดือนจะกลายเป็นผู้ติดเชื้อเรื้อรัง ซึ่งส่วนใหญ่จะ ไม่มีอาการ ในระยะแรก แต่เชื้อจะค่อยๆ ทำลายตับอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมีโอกาสเกิดมะเร็งตับสูงมากในอนาคต ผู้ป่วยมักทราบว่าติดเชื้อก็ต่อเมื่อตรวจสุขภาพ หรือเมื่อเริ่มมีอาการของตับแข็งแล้ว


3. ไวรัสตับอักเสบ ซี (Hepatitis C virus: HCV)

การติดต่อ:

ทางเลือด: เป็นช่องทางหลัก คล้ายกับไวรัสตับอักเสบบี

การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน: (พบบ่อยที่สุด)

การรับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดก่อนปี พ.ศ. 2535 (ก่อนมีการตรวจคัดกรองเชื้อ)

การใช้ของมีคมร่วมกัน: เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน

การสัก การเจาะ: หากใช้อุปกรณ์ที่ไม่สะอาด

เพศสัมพันธ์ (พบน้อยกว่าไวรัสตับอักเสบบี)

จากแม่สู่ลูก (พบน้อยกว่าไวรัสตับอักเสบบี)

อาการ:

ส่วนใหญ่ของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี (ประมาณ 80%) จะ ไม่แสดงอาการใดๆ ทั้งในระยะเฉียบพลันและเรื้อรัง ทำให้ไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ

หากมีอาการในระยะเฉียบพลัน ก็มักจะเป็นอาการไม่รุนแรงคล้ายไข้หวัด (ไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน) หรือมีตัวเหลือง ตาเหลืองบ้าง แต่มักหายไปเอง

ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะกลายเป็น ตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งจะค่อยๆ ทำลายตับไปเรื่อยๆ จนเกิดตับแข็งและมะเร็งตับในที่สุด โดยอาจไม่แสดงอาการจนกว่าตับจะถูกทำลายไปมากแล้ว


4. ไวรัสตับอักเสบ ดี (Hepatitis D virus: HDV)

การติดต่อ:

ต้องติดเชื้อ ร่วมกับไวรัสตับอักเสบบีเท่านั้น ไวรัสดีไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ด้วยตัวเอง

การติดต่อคล้ายไวรัสตับอักเสบบี (ทางเลือดและสารคัดหลั่ง)

อาการ:

หากติดเชื้อไวรัสดีพร้อมกับไวรัสบี (Co-infection) อาจทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลันที่รุนแรงกว่าปกติ

หากติดเชื้อไวรัสดีในผู้ที่เป็นพาหะไวรัสบีอยู่แล้ว (Superinfection) จะทำให้โรคตับอักเสบเรื้อรังแย่ลงอย่างรวดเร็ว และมีโอกาสเกิดตับแข็งและมะเร็งตับสูงมาก


5. ไวรัสตับอักเสบ อี (Hepatitis E virus: HEV)

การติดต่อ:

ทางอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อโรค (Fecal-Oral Route): คล้ายไวรัสตับอักเสบเอ มักเกี่ยวข้องกับการรับประทานอาหารที่ปรุงไม่สุก โดยเฉพาะเนื้อหมู ดื่มน้ำไม่สะอาด


อาการ:

ส่วนใหญ่มักเป็นตับอักเสบ เฉียบพลัน และหายได้เอง ไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้อเรื้อรัง

อาการคล้ายไวรัสตับอักเสบเอ เช่น ไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ตัวเหลือง ตาเหลือง

ในหญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจเกิดตับอักเสบชนิดรุนแรง หรือตับวายเฉียบพลันได้


ข้อสรุปที่สำคัญ:

ไวรัสตับอักเสบบีและซี เป็นภัยเงียบที่อันตรายที่สุด เพราะมักไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่ก่อให้เกิดการติดเชื้อเรื้อรังและเป็นสาเหตุหลักของตับแข็งและมะเร็งตับ

การ ฉีดวัคซีนป้องกัน (โดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบบี) และการป้องกันการติดเชื้อโดยระมัดระวังเรื่องสุขอนามัยและพฤติกรรมเสี่ยง เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการดูแลสุขภาพตับของคุณ

หากคุณสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยง หรือมีอาการที่อาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับคำแนะนำที่ถูกต้องครับ