ไวรัสตับอักเสบคืออะไร มีกี่ชนิด ติดต่อทางไหน มีอาการอย่างไรไวรัสตับอักเสบ (Viral Hepatitis) คือ ภาวะที่ตับเกิดการอักเสบเนื่องจากการติดเชื้อไวรัสโดยตรง ทำให้เซลล์ตับถูกทำลายและอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็ง และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับได้ในระยะยาว
มีไวรัสตับอักเสบหลักๆ 5 ชนิดที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในคน ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ (A), บี (B), ซี (C), ดี (D) และ อี (E) ซึ่งแต่ละชนิดมีวิธีการติดต่อและผลต่อตับที่แตกต่างกันครับ
1. ไวรัสตับอักเสบ เอ (Hepatitis A virus: HAV)
การติดต่อ:
ทางอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อโรค (Fecal-Oral Route): เกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อนมากับอุจจาระของผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะอาหารที่ปรุงไม่สุก หรืออาหารที่ปนเปื้อนจากผู้ประกอบอาหารที่ไม่ล้างมือ
สุขอนามัยที่ไม่ดี
อาการ:
มักเป็นแบบ เฉียบพลัน และส่วนใหญ่หายเป็นปกติได้เอง ไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้อเรื้อรัง ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ
อาการมักเริ่มหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 2-6 สัปดาห์
อาการที่พบ:
ไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า
เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณชายโครงขวา (ตำแหน่งของตับ)
ปัสสาวะสีเข้มผิดปกติ
อุจจาระสีซีด
ตัวเหลือง ตาเหลือง (ดีซ่าน)
ในเด็กเล็กมักไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย
2. ไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B virus: HBV)
การติดต่อ:
ทางเลือดและสารคัดหลั่ง: เป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อ
จากแม่สู่ลูก: ติดต่อจากมารดาที่ติดเชื้อสู่ทารกขณะคลอด (พบบ่อยที่สุดในประเทศไทยหากไม่ได้รับการป้องกัน)
เพศสัมพันธ์: มีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อโดยไม่ป้องกัน
การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน: ในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติด
การใช้ของมีคมร่วมกัน: เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน กรรไกรตัดเล็บ
การรับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดที่มีเชื้อ (พบน้อยลงมากในปัจจุบันเนื่องจากมีการคัดกรองอย่างดี)
อาการ:
ระยะเฉียบพลัน: ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจไม่มีอาการ หรือมีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น อ่อนเพลีย มีไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อย คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้อง (จุกแน่นชายโครงขวา) ปัสสาวะสีเข้ม ตัวเหลือง ตาเหลือง อาการมักจะเป็นอยู่ประมาณ 2-3 สัปดาห์
ระยะเรื้อรัง: เป็นชนิดที่สำคัญและอันตรายที่สุด หากเชื้ออยู่ในร่างกายเกิน 6 เดือนจะกลายเป็นผู้ติดเชื้อเรื้อรัง ซึ่งส่วนใหญ่จะ ไม่มีอาการ ในระยะแรก แต่เชื้อจะค่อยๆ ทำลายตับอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมีโอกาสเกิดมะเร็งตับสูงมากในอนาคต ผู้ป่วยมักทราบว่าติดเชื้อก็ต่อเมื่อตรวจสุขภาพ หรือเมื่อเริ่มมีอาการของตับแข็งแล้ว
3. ไวรัสตับอักเสบ ซี (Hepatitis C virus: HCV)
การติดต่อ:
ทางเลือด: เป็นช่องทางหลัก คล้ายกับไวรัสตับอักเสบบี
การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน: (พบบ่อยที่สุด)
การรับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดก่อนปี พ.ศ. 2535 (ก่อนมีการตรวจคัดกรองเชื้อ)
การใช้ของมีคมร่วมกัน: เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน
การสัก การเจาะ: หากใช้อุปกรณ์ที่ไม่สะอาด
เพศสัมพันธ์ (พบน้อยกว่าไวรัสตับอักเสบบี)
จากแม่สู่ลูก (พบน้อยกว่าไวรัสตับอักเสบบี)
อาการ:
ส่วนใหญ่ของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี (ประมาณ 80%) จะ ไม่แสดงอาการใดๆ ทั้งในระยะเฉียบพลันและเรื้อรัง ทำให้ไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ
หากมีอาการในระยะเฉียบพลัน ก็มักจะเป็นอาการไม่รุนแรงคล้ายไข้หวัด (ไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน) หรือมีตัวเหลือง ตาเหลืองบ้าง แต่มักหายไปเอง
ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะกลายเป็น ตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งจะค่อยๆ ทำลายตับไปเรื่อยๆ จนเกิดตับแข็งและมะเร็งตับในที่สุด โดยอาจไม่แสดงอาการจนกว่าตับจะถูกทำลายไปมากแล้ว
4. ไวรัสตับอักเสบ ดี (Hepatitis D virus: HDV)
การติดต่อ:
ต้องติดเชื้อ ร่วมกับไวรัสตับอักเสบบีเท่านั้น ไวรัสดีไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ด้วยตัวเอง
การติดต่อคล้ายไวรัสตับอักเสบบี (ทางเลือดและสารคัดหลั่ง)
อาการ:
หากติดเชื้อไวรัสดีพร้อมกับไวรัสบี (Co-infection) อาจทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลันที่รุนแรงกว่าปกติ
หากติดเชื้อไวรัสดีในผู้ที่เป็นพาหะไวรัสบีอยู่แล้ว (Superinfection) จะทำให้โรคตับอักเสบเรื้อรังแย่ลงอย่างรวดเร็ว และมีโอกาสเกิดตับแข็งและมะเร็งตับสูงมาก
5. ไวรัสตับอักเสบ อี (Hepatitis E virus: HEV)
การติดต่อ:
ทางอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อโรค (Fecal-Oral Route): คล้ายไวรัสตับอักเสบเอ มักเกี่ยวข้องกับการรับประทานอาหารที่ปรุงไม่สุก โดยเฉพาะเนื้อหมู ดื่มน้ำไม่สะอาด
อาการ:
ส่วนใหญ่มักเป็นตับอักเสบ เฉียบพลัน และหายได้เอง ไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้อเรื้อรัง
อาการคล้ายไวรัสตับอักเสบเอ เช่น ไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ตัวเหลือง ตาเหลือง
ในหญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจเกิดตับอักเสบชนิดรุนแรง หรือตับวายเฉียบพลันได้
ข้อสรุปที่สำคัญ:
ไวรัสตับอักเสบบีและซี เป็นภัยเงียบที่อันตรายที่สุด เพราะมักไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่ก่อให้เกิดการติดเชื้อเรื้อรังและเป็นสาเหตุหลักของตับแข็งและมะเร็งตับ
การ ฉีดวัคซีนป้องกัน (โดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบบี) และการป้องกันการติดเชื้อโดยระมัดระวังเรื่องสุขอนามัยและพฤติกรรมเสี่ยง เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการดูแลสุขภาพตับของคุณ
หากคุณสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยง หรือมีอาการที่อาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับคำแนะนำที่ถูกต้องครับ