5 วิธีเสริมเกราะป้องกันโรคปอดอักเสบ ภัยร้ายที่มากับลมหายใจโรคปอดอักเสบ (Pneumonitis) หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า โรคปอดบวม เป็นภาวะอักเสบที่เกิดขึ้นในเนื้อปอด ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจ และนับเป็นหนึ่งในโรคแสนอันตรายที่เราควรเฝ้าระวัง ไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่หรือผู้สูงวัย หมอจึงอยากฝากวิธีป้องกันให้ห่างจากโรค
เราอาจรับเชื้อได้ผ่านการสูดเอาละอองฝอยในอากาศที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งมักเกิดจากการไอหรือจามของผู้ติดเชื้อ ส่งผลให้เชื้อเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและลุกลามเข้าสู่เนื้อปอดโดยตรง
5 วิธีป้องกันของโรคปอดอักเสบ
1. เสริมสร้างภูมิต้านทานจากภายใน
สุขภาพที่แข็งแรงเริ่มได้ด้วยการดูแลตนเอง เราควรรับประทานอาหารให้สมสัดส่วนและหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากนั้นพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ทุกเซลล์ฟื้นฟูอย่างเต็มที่
2. โอบอุ้มร่างกายด้วยความอบอุ่น
เราควรเลือกเสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วยได้เป็นอย่างดี
3. รักษาความสะอาดและหลีกเลี่ยงเชื้อ
สวมใส่หน้ากากป้องกันตัวเอง
ถอยห่างจากผู้คนอย่างน้อย 2 ก้าว
เลี่ยงการรวมตัวกับกลุ่มคนหรือพื้นที่แออัด
ล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งทั้งก่อนและหลังรับประทานอาหาร
ใช้ผ้าหรือทิชชูปิดจมูกทุกครั้งเมื่อไอหรือจาม
4. พักผ่อนอยู่ภายในบ้าน
การหยุดพักเมื่อเกิดอาการป่วยเป็นสิ่งจำเป็น เพราะไม่เพียงป้องกันอันตรายที่เกิดกับตัวระหว่างวัน แต่ยังลดโอกาสการติดเชื้อสู่ผู้อื่นได้อย่างดี โดยเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจอาการและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างต่อเนื่องเพื่อความปลอดภัยของชีวิต
5. เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันด้วยวัคซีน
ปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์ได้คิดค้นวัคซีนป้องกันเชื้อนิวโมคอคคัสขึ้น 2 ชนิดหลัก ได้แก่
วัคซีนชนิดคอนจูเกต (PCV) ล่าสุดได้พัฒนา PCV20 (Prevenar 20) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพต้านทานโรคให้ครอบคลุม 20 สายพันธุ์ รวมถึงลดโอกาสการดื้อยาร่วมด้วย
วัคซีนชนิดโพลีแซคคาไรด์ (PPSV) ซึ่งมุ่งป้องกันการติดเชื้อได้ครอบคลุมถึง 23 สายพันธุ์
การฉีดวัคซีนสลับชนิด
ปัจจุบันวิทยาการแพทย์ได้พัฒนาวัคซีนที่ช่วยปกป้องเชื้อโรคได้ครอบคลุมหลากสายพันธุ์ วัคซีน PCV มีหลายขนานตามจำนวนสายพันธุ์ที่วัคซีนช่วยป้องกัน ซึ่งมีตั้งแต่ PCV13, PCV15 และ PCV20 ขณะที่วัคซีนอีกชนิดได้พัฒนาตัว PPSV23 ขึ้นมาเช่นกัน ดังนั้นแพทย์จึงจำเป็นต้องพิจารณาประวัติผู้ป่วย ก่อนเลือกฉีดสลับชนิดตามความเหมาะสม
ผู้ที่ควรได้รับวัคซีน
เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป
ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี
ผู้ที่มีภาวะน้ำไขสันหลังรั่ว
ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม
เด็กและผู้ใหญ่ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หัวใจ หรือโรคปอดเรื้อรัง
ข้อควรรู้ก่อนเข้ารับวัคซีน
แพทย์จำเป็นต้องประเมินสุขภาพอย่างละเอียดก่อนรับวัคซีน โดยวัคซีนดังกล่าวไม่เหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์ ผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยเฉียบพลัน หรือผู้ที่เคยมีปฏิกิริยารุนแรงจากการฉีดวัคซีนครั้งก่อน
กรณีผู้สูงอายุ
เนื่องจากภูมิคุ้มกันในผู้สูงอายุเริ่มถดถอย ทำให้ร่างกายสู้กับโรคได้ลดลงและเสี่ยงติดเชื้อมากขึ้น ดังนั้นการรับวัคซีนจึงเป็นส่วนเสริมภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอให้ทำงานได้ดีและเตรียมรับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้